.

จีน'เตือนพร้อมตอบโต้ทุกประเทศที่ร่วมมือกับสหรัฐฯ ทำข้อตกลงการค้ากับทรัมป์ สร้างความเสียหายต่อปักกิ่ง
22-4-2025
จีนออกคำเตือนแก่ประเทศต่างๆ ไม่ให้ทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของปักกิ่ง ซึ่งเป็นการยกระดับความตึงเครียดในสงครามการค้ากับวอชิงตัน และสะท้อนให้เห็นว่าประเทศอื่นๆ เสี่ยงที่จะถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องในความขัดแย้งระหว่างสองมหาอำนาจ กระทรวงพาณิชย์จีนระบุในแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ว่า แม้จีนจะเคารพการตัดสินใจของประเทศต่างๆ ในการแก้ไขข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐฯ แต่ปักกิ่ง "คัดค้านอย่างเด็ดขาดหากฝ่ายใดบรรลุข้อตกลงโดยทำให้ผลประโยชน์ของจีนเสียหาย"
แถลงการณ์ระบุเพิ่มเติมว่า หากเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น ปักกิ่ง "จะไม่ยอมรับอย่างเด็ดขาดและจะใช้มาตรการตอบโต้ที่เท่าเทียมกัน" พร้อมเสริมว่า "จีนพร้อมที่จะเสริมสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและประสานงานกับทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันตอบสนองและต่อต้านการกระทำที่เป็นการรังแกฝ่ายเดียว"
คำเตือนดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่หลายประเทศกำลังเตรียมเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อขอลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีศุลกากรที่ครอบคลุมซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้กำหนดไว้และภายหลังระงับใช้ชั่วคราวกับคู่ค้าประมาณ 60 ประเทศ ในทางกลับกัน วอชิงตันกำลังผลักดันให้ประเทศเหล่านี้จำกัดการค้ากับจีนและควบคุมศักยภาพการผลิตของปักกิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าจีนจะไม่สามารถหลบเลี่ยงภาษีศุลกากรได้
ที่ปรึกษาเศรษฐกิจระดับสูงของทรัมป์กำลังหารือเกี่ยวกับการขอให้ประเทศอื่นๆ กำหนด "ภาษีศุลกากรทุติยภูมิ" ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเป็นบทลงโทษทางการเงิน สำหรับสินค้านำเข้าจากประเทศที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานก่อนหน้านี้โดยอ้างบุคคลที่คุ้นเคยกับกระบวนการดังกล่าว นอกจากนี้ วอชิงตันยังต้องการให้คู่ค้าละเว้นจากการรับซื้อสินค้าส่วนเกินจากจีน แหล่งข่าวอื่นๆ กล่าว
เวียดนามกำลังเตรียมปราบปรามการลักลอบขนส่งสินค้าจีนที่ไหลผ่านพรมแดนไปยังสหรัฐอเมริกา ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ก่อนหน้านี้
สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นได้เริ่มการเจรจาการค้าและกำลังเตรียมการเจรจาเพิ่มเติม ขณะที่ไต้หวันอธิบายการหารือเกี่ยวกับการควบคุมการส่งออกว่ามีความ "เข้มข้น" เจ้าหน้าที่การค้าระดับสูงของเกาหลีใต้มีกำหนดเดินทางเยือนวอชิงตันในสัปดาห์นี้เพื่อเริ่มต้นการเจรจา
เบิร์ต ฮอฟแมน อดีตผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศจีน กล่าวว่า ปักกิ่งไม่ควรกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับการที่รัฐบาลทรัมป์จะรวมตัวสร้างพันธมิตรต่อต้านจีน เนื่องจาก "สหรัฐฯ แทบไม่อยู่ในสถานะที่จะทำเช่นนั้นได้ เพราะรูปแบบการกำหนดนโยบายที่ไม่แน่นอน" อย่างไรก็ตาม ฮอฟแมนกล่าวว่า จีนมีดุลการค้าเกินดุลอย่างมากกับประเทศต่างๆ และ "วิธีที่ดีที่สุดในการคลี่คลายความตึงเครียดนี้คือการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศเพื่อลดดุลการค้าเกินดุล และประสานงานกับประเทศอื่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรตอบโต้ที่อาจเกิดขึ้นจากสงครามภาษีของทรัมป์"
ในอดีต จีนเคยเล็งเป้าไปที่ประเทศที่มีความร่วมมือกับสหรัฐฯ ซึ่งจีนมองว่าเป็นภัยคุกคาม ย้อนกลับไปในปี 2559 สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ตกลงติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธที่เรียกว่า THAAD (Terminal High Altitude Area Defense) ซึ่งวอชิงตันระบุว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ จีนคัดค้านว่าระบบดังกล่าวจะทำลายดุลยภาพเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาค และเรดาร์ที่ทรงพลังของระบบนี้จะสามารถใช้สอดแนมระบบขีปนาวุธของจีนได้
จีนตอบโต้ด้วยการระงับการขายแพ็กเกจทัวร์ไปยังเกาหลีใต้และขัดขวางการดำเนินงานของบริษัทเกาหลีใต้ ต่อมา ปักกิ่งและโซลได้ตกลงที่จะก้าวข้ามความขัดแย้งนี้ไป แม้ว่าแบตเตอรี่ THAAD ยังคงประจำการอยู่ในเกาหลีใต้
เมื่อปีที่แล้ว จีนประกาศห้ามทั้งการขายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง (dual-use items) ให้กับกองทัพสหรัฐฯ และการส่งออกวัสดุอย่างแกลเลียมและเจอร์เมเนียมไปยังสหรัฐฯ โดยระบุว่าบริษัทและบุคคลในต่างประเทศจะต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดเหล่านี้ด้วย
จีนเป็นผู้จัดหาชั้นนำของโลกสำหรับแร่หายาก (rare earth minerals) หลายสิบชนิดที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมการสื่อสารและการป้องกันประเทศ และความกังวลเกี่ยวกับการครอบงำของจีนได้เพิ่มสูงขึ้นในวอชิงตันนับตั้งแต่ปักกิ่งเริ่มกำหนดการควบคุมการส่งออกแกลเลียมและเจอร์เมเนียมในเบื้องต้น
เมื่อต้นเดือนนี้ จีนได้ตอบโต้ภาษีศุลกากรใหม่ที่รัฐบาลทรัมป์กำหนด โดยไม่เพียงแต่ประกาศเก็บภาษีของตนเองเท่านั้น แต่ยังใช้มาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากอีกด้วย การส่งออกวัสดุเหล่านี้แทบจะหยุดชะงักทั้งหมด เนื่องจากผู้ผลิตต้องเผชิญกับข้อกำหนดด้านใบอนุญาตที่เข้มงวดยิ่งขึ้น
ในความพยายามที่จะตอบโต้การเคลื่อนไหวล่าสุดของสหรัฐฯ จีนได้เร่งการทูตกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยุโรป ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เดินทางเยือนเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อรวมพลัง "ครอบครัวเอเชีย" ที่สามารถจัดการกับความเสี่ยงอันเป็นผลมาจากภาษีศุลกากรของทรัมป์ได้ดียิ่งขึ้น
---
IMCT NEWS
-----------------------------------
ทูตจีนประจำสหรัฐเตือนภาษีของทรัมป์จะนำไปสู่เศรษฐกิจโลกตกต่ำคร้ังใหญ่คล้ายปี1930
22-4-2025
ทูตจีนประจำสหรัฐฯ เตือนวอชิงตันหลีกเลี่ยงบทเรียนจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ของปี 1930 โดยเรียกร้องการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ขณะย้ำว่าจีนพร้อมตอบโต้หากสงครามการค้าทวีความรุนแรงขึ้น ท่ามกลางความขัดแย้งด้านภาษีศุลกากรระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญกว้างขึ้นของวอชิงตันที่มุ่งเป้าไปยังหลายประเทศทั่วโลก จีนยังคงถูกแยกออกจากมาตรการผ่อนผันที่ให้กับประเทศอื่น โดยภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนได้ถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็น 145%
ในการตอบโต้ ปักกิ่งได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ สูงถึง 125% และจำกัดการส่งออกแร่ธาตุสำคัญที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ระหว่างงานที่จัดขึ้นในกรุงวอชิงตันเกี่ยวกับแพทย์แผนจีน ทูตจีนประจำสหรัฐฯ นายเซี่ย เฟิง ได้เตือนว่า มาตรการภาษีของสหรัฐฯ อาจสั่นคลอนเศรษฐกิจโลก โดยเปรียบเทียบกับนโยบายภาษีของสหรัฐฯในปี 1930 ที่มีส่วนทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ตามรายงานจากเว็บไซต์สถานทูตจีนในสหรัฐฯ
เซี่ย เฟิง อ้างอิงหลักการแพทย์แผนจีน โดยวกล่าวว่า ปัญหาต้องได้รับการแก้ไขจากต้นเหตุ ไม่ใช่แค่รักษาที่อาการ พร้อมเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ร่วมมือกันขยายขนาดเศรษฐกิจโลก แทนที่จะแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงทรัพยากรที่มีอยู่ “คุณไม่สามารถรักษาอาการปวดหัวโดยดูแค่ศีรษะ หรือรักษาอาการปวดเท้าโดยดูแค่เท้าได้” เซี่ยกล่าว “และคุณก็ไม่ควรสั่งยารักษาคนอื่น ทั้งที่ตัวเองยังป่วยอยู่”
เขายังได้กล่าวถึงนโยบายปกป้องทางการค้าในอดีตของสหรัฐฯ โดยเฉพาะ พระราชบัญญัติภาษีสมูท-ฮอว์ลีย์ (Smoot-Hawley Tariff Act) ซึ่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 75% กับสินค้าสำคัญ เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์และขนสัตว์ โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องเกษตรกรและอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ แต่ผลที่ตามมาคือการค้าระหว่างประเทศลดลงอย่างรุนแรง และส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำยิ่งเลวร้ายลง “ผมเชื่อว่าหลายท่านคงทราบดีว่า พระราชบัญญัติภาษีสมูท-ฮอว์ลีย์ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง” เซี่ยกล่าว
เขายังได้ยกปรัชญาจีนมาประกอบ โดยกล่าวถึงความสำคัญของการรักษาสมดุลระหว่าง “หยิน” และ “หยาง” และเสนอว่า “ความกลมเกลียว” ควรเป็นหลักนำทางในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก
เซี่ยเรียกร้องให้ทั้งสองชาติเดินหน้าในแนวทาง “อยู่ร่วมกันอย่างสันติ” แทนที่จะเผชิญหน้า และสนับสนุนความสำเร็จซึ่งกันและกัน แทนที่จะตกอยู่ในสถานการณ์แบบ “แพ้ทั้งคู่” (lose-lose)
เขาย้ำว่าจีนไม่เห็นด้วยกับสงครามการค้า และจะตอบโต้ทุกประเทศที่กำหนดมาตรการภาษีกับจีน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่ากำลังมีการเจรจากับเจ้าหน้าที่จีน โดยระบุว่า “เรากำลังมีบทสนทนาดี ๆ กับจีนเลยนะ แบบว่า...ดีมากจริง ๆ”
ที่มา RT