มาครง'ประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์-ขายอาวุธให้อิสราเอล

มาครง' ฝรั่งเศสประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์ แต่ยังขายอาวุธให้อิสราเอล
14-4-2025
Al Jazeera รายงานว่า ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ประกาศเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า ฝรั่งเศสกำลังเตรียมการรับรองสถานะรัฐของปาเลสไตน์ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า หากดำเนินการตามนี้ ปารีสจะกลายเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปลำดับที่ 12 จากทั้งหมด 27 รัฐที่ยอมรับการมีอยู่ของรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการ โดยเมื่อปีที่แล้ว สโลวีเนีย ไอร์แลนด์ และสเปนได้ดำเนินการรับรองในทำนองเดียวกัน
การรับรองของฝรั่งเศสถือเป็นก้าวสำคัญในทิศทางที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากฝรั่งเศสรับรองพรมแดนของปาเลสไตน์ตามเส้นแบ่งปี 1967 และยอมรับให้เยรูซาเล็มตะวันออกเป็นเมืองหลวง ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายระหว่างประเทศและฉันทามติระหว่างประเทศ
การตัดสินใจครั้งนี้อาจส่งผลให้ประเทศอื่นๆ ในยุโรปดำเนินการในแนวทางเดียวกัน รวมถึงลักเซมเบิร์กและโปรตุเกส และอาจสร้างแรงกดดันอย่างมีนัยสำคัญให้กับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะสหราชอาณาจักร สวิตเซอร์แลนด์ และเบลเยียม อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหลายรายระบุว่า ฝรั่งเศสมีความเสี่ยงที่จะเปลี่ยนการยอมรับปาเลสไตน์เป็นเพียงท่าทีที่ว่างเปล่าเพื่อรักษาหน้า ท่ามกลางกระแสต่อต้านที่เพิ่มมากขึ้นในหมู่ประชาชนยุโรปต่อการยึดครองปาเลสไตน์ของอิสราเอลและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กำลังเกิดขึ้นในฉนวนกาซา
ภายใต้การนำของมาครง ฝรั่งเศสยังห่างไกลจากการปฏิบัติตามพันธกรณีทางกฎหมายและทางการเมืองที่มีต่อปาเลสไตน์ โดยเพิกเฉยต่ออาชญากรรมและการละเมิดที่เลวร้ายของอิสราเอล ในบริบทนี้ การประกาศของฝรั่งเศสจึงถูกมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางการทูตที่ "น้อยเกินไปและสายเกินไป"
จนถึงเมื่อไม่นานมานี้ มหาอำนาจตะวันตกส่วนใหญ่ได้กำหนดเงื่อนไขในการยอมรับปาเลสไตน์โดยขึ้นอยู่กับผลของการเจรจาสันติภาพ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเท่ากับเป็นการให้อิสราเอลมีอำนาจยับยั้งสถานะรัฐของปาเลสไตน์ เนื่องจากอิสราเอลไม่ต้องการให้การเจรจานำไปสู่ทางออก ไม่ว่าจะเป็นทางออกแบบสองรัฐตามแนวชายแดนปี 1967 หรือทางออกแบบรัฐเดียวที่ชาวปาเลสไตน์และชาวอิสราเอลมีสิทธิเท่าเทียมกัน
กฎหมายของอิสราเอลคัดค้านการรับรองปาเลสไตน์และการใช้สิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตนเองของชาวปาเลสไตน์ แต่มหาอำนาจตะวันตกยังคงแสดงท่าทีราวกับว่าไม่เป็นเช่นนั้น อิสราเอลได้รับอิทธิพลเหนือปาเลสไตน์ แม้ว่าสถานะรัฐของอิสราเอลเองจะอิงตามมติสหประชาชาติที่ 181 ซึ่งเรียกร้องให้จัดตั้งรัฐสองรัฐ และการเป็นสมาชิกของอิสราเอลในสหประชาชาติมีเงื่อนไขว่าต้องปฏิบัติตามมติที่ 181 และ 194 โดยมติหลังเกี่ยวข้องกับสิทธิในการกลับคืนสู่บ้านเกิดของผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ รัฐบาลอิสราเอลชุดต่อๆ มาได้ละเมิดมติทั้งสองฉบับอย่างเป็นระบบ รวมทั้งมติอื่นๆ อีกมากมาย โดยไม่ต้องเผชิญกับผลที่ตามมาจากพันธมิตรตะวันตก
ปัจจุบัน เมื่อรัฐบาลอิสราเอลได้แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าแผนการของตนคือการกวาดล้างชาติพันธุ์และการผนวกดินแดนปาเลสไตน์ทั้งหมด ประเทศตะวันตกบางประเทศจึงเริ่มพิจารณาจุดยืนของตนใหม่ และเลือกที่จะรับรองสถานะรัฐของปาเลสไตน์
แม้ว่าการรับรองจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่ใช่ขั้นตอนเดียวที่ประเทศเช่นฝรั่งเศสควรดำเนินการเพื่อสนับสนุนสิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตนเองของชาวปาเลสไตน์ ฝรั่งเศสมีสถานะเป็นอดีตเจ้าอาณานิคมในตะวันออกกลาง เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เป็นสมาชิกชั้นนำของสหภาพยุโรป เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนการค้าที่สำคัญที่สุดของอิสราเอล และเป็นผู้บริจาครายสำคัญให้กับปาเลสไตน์
ด้วยสถานะดังกล่าว ฝรั่งเศสจึงมีภาระผูกพันทางศีลธรรมและกฎหมายที่จะต้องดำเนินการมากกว่าเพียงการรับรองสถานะรัฐ การรับรองเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถหยุดยั้งการกวาดล้างชาติพันธุ์และการผนวกดินแดนที่กำลังดำเนินอยู่ได้ กระบวนการเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เนื่องจากประเทศเช่นฝรั่งเศสล้มเหลวในการดำเนินการและไม่ทำให้อิสราเอลต้องรับผิดชอบต่อการกระทำ
## การให้เอกสิทธิ์แก่เนทันยาฮู ตัวอย่างเช่น ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ในยุโรปที่ให้เอกสิทธิ์คุ้มครองโดยพฤตินัยแก่เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล หลังจากที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ได้ออกหมายจับเขาในเดือนพฤศจิกายน ปารีสได้เปิดน่านฟ้าหลายครั้งให้เนทันยาฮูบินผ่านระหว่างทางไปสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นการละเมิดพันธกรณีภายใต้ธรรมนูญกรุงโรม ซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่ก่อตั้ง ICC
แม้จะมีการเรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรอาวุธกับอิสราเอลมากขึ้น ฝรั่งเศสก็ยังคงขายอาวุธให้กับกองทัพอิสราเอลระหว่างที่เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ พลเมืองฝรั่งเศสไม่ต้องรับผลที่ตามมาจากการเข้าร่วมในการตั้งอาณานิคมในเขตเวสต์แบงก์ที่ถูกยึดครอง หรือการรับใช้ในกองกำลังยึดครองของอิสราเอล ซึ่งถูกกล่าวหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าก่ออาชญากรรมสงครามที่ร้ายแรง ในทำนองเดียวกัน ฝรั่งเศสยังคงยอมให้มีการระดมทุนเพื่อการตั้งถิ่นฐานที่ผิดกฎหมายของอิสราเอล ในขณะที่บริษัทฝรั่งเศสหลายแห่งมีส่วนร่วมในกระบวนการผนวกดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครองอย่างต่อเนื่อง
## บทบาทพิเศษในเยรูซาเล็ม
ฝรั่งเศสได้รับบทบาทพิเศษในเยรูซาเล็มในการปกป้องการรักษาสถานภาพเดิมของนิกายคริสเตียน อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสแทบไม่ได้ดำเนินมาตรการที่เป็นรูปธรรมใดๆ เพื่อหยุดยั้งความพยายามของอิสราเอลในการเรียกเก็บภาษีโบสถ์และยึดทรัพย์สินของโบสถ์อย่างผิดกฎหมาย
หากฝรั่งเศสสนใจที่จะเป็นตัวกลางในการสร้างสันติภาพในตะวันออกกลางอย่างแท้จริง ฝรั่งเศสจำเป็นต้องทำมากกว่าแค่การรับรองสถานะรัฐของปาเลสไตน์ ฝรั่งเศสต้องดำเนินการตามพันธกรณีภายใต้กฎบัตรสหประชาชาติและธรรมนูญกรุงโรม ฝรั่งเศสต้องกดดันอิสราเอลอย่างแท้จริงและจริงจังให้ยุติการยึดครองและการตั้งอาณานิคมในดินแดนปาเลสไตน์ และดำเนินการกับพลเมืองฝรั่งเศสและบริษัทต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ฝรั่งเศสต้องกลับคำตัดสินใจที่จะให้เอกสิทธิ์คุ้มครองเจ้าหน้าที่อิสราเอลที่ศาลอาญาระหว่างประเทศต้องการตัว
ในระดับสหภาพยุโรป ฝรั่งเศสควรร่วมกับสเปนและไอร์แลนด์เรียกร้องให้มีการทบทวนข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสหภาพยุโรปและอิสราเอล โดยคำนึงถึงการละเมิดมาตรา 2 ของอิสราเอลอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งระบุว่าความสัมพันธ์จะต้องอยู่บนพื้นฐานของการเคารพสิทธิมนุษยชน เป็นที่คาดการณ์ได้ว่ารัฐบาลอิสราเอลจะคัดค้านการรับรองปาเลสไตน์ และจะใช้เครื่องมือที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อป้องกัน โดยอาจใช้แรงกดดันผ่านการระดมฝ่ายค้านในประเทศ การประสานงานกับพันธมิตรใกล้ชิดของอิสราเอล เช่น สหรัฐอเมริกา และการดำเนินการกับนักการทูตที่ประจำการอยู่ในเยรูซาเล็ม รวมถึงกลวิธีอื่นๆ
## ช่วงเวลาแห่งความจริงของฝรั่งเศส
สถานการณ์นี้จะบังคับให้ฝรั่งเศสต้องเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความจริง: ฝรั่งเศสเต็มใจที่จะยืนหยัดเพื่อหลักการของตนหรือไม่ หรือจะยอมจำนนต่อการแบล็กเมล์ของอิสราเอล ฝรั่งเศสจะเป็นผู้นำในยุโรปในการเคารพพันธกรณีระหว่างประเทศหรือไม่ หรือจะปล่อยให้การรับรองปาเลสไตน์เป็นเพียงท่าทีที่ว่างเปล่า ในช่วงเวลาที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ รับรองการกวาดล้างชาติพันธุ์เป็นนโยบายอย่างเป็นทางการ และสหภาพยุโรปอยู่ในจุดต่ำสุดทางการเมืองเกี่ยวกับปาเลสไตน์ ฝรั่งเศสมีโอกาสที่จะสร้างความแตกต่างได้ ฝรั่งเศสสามารถเข้าร่วมกับสมาชิกสหภาพยุโรปอื่นๆ เช่น สเปนและไอร์แลนด์ ซึ่งร่วมกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลกกำลังผลักดันให้เกิดระเบียบระหว่างประเทศตามกฎเกณฑ์ที่ปาเลสไตน์จะไม่เป็นข้อยกเว้นจากบรรทัดฐานอีกต่อไป
ฝรั่งเศสสามารถยึดมั่นตามคำขวัญของตนเองที่ว่า "liberté, égalité, fraternité" (เสรีภาพ ความเสมอภาค ความเป็นพี่น้อง) โดยสนับสนุนให้ชาวปาเลสไตน์แสวงหาเสรีภาพ ความเสมอภาค และความเป็นพี่น้องอย่างแท้จริง
---
IMCT NEWS