.

'เกมแห่งการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์': จีนสามารถแซงหน้าสหรัฐฯ ในสงครามการค้าที่ยืดเยื้อได้หรือไม่?
11-4-2025
จีนประกาศสู้จนถึงที่สุด! นักวิเคราะห์เผยสงครามการค้ากับสหรัฐฯ เป็น 'เกมยุทธศาสตร์' ที่ต้องรอหลายเดือนก่อนเจรจา สงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีนได้ยกระดับเป็น "การต่อสู้เชิงยุทธศาสตร์" โดยไม่มีแนวโน้มว่าจะมีการเจรจาใดๆ ในอนาคตอันใกล้ และปักกิ่งก็ไม่แสดงท่าทีที่จะยอมแพ้ ตามความเห็นของนักวิเคราะห์จีน
สถานการณ์ความตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อวอชิงตันประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 125% เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (ล่าสุด 10 มี.ค. เพิ่มเป็น 145%) นับตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์กลับเข้าสู่ทำเนียบขาว ขณะที่ให้ประเทศอื่นๆ ได้รับการผ่อนผันเป็นเวลา 90 วัน หลังจากที่ประเทศเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ทั้งสองของโลกได้มีการขึ้นภาษีตอบโต้กันไปมาหลายครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ภายหลังการประกาศขึ้นภาษี ทรัมป์แสดงความเปิดกว้างที่จะเจรจากับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน พร้อมระบุว่าเขา "นึกไม่ออก" ว่าจะขึ้นภาษีสินค้าจีนเพิ่มเติมอีก โดยก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยอ้างว่าจีนจะโทรหาเขาเพื่อ "ทำข้อตกลง" ด้านกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้ย้ำเมื่อวันพฤหัสบดีว่า จีนเปิดกว้างสำหรับการเจรจากับสหรัฐฯ เฉพาะในกรณีที่เป็นไปอย่าง "เป็นธรรมและเคารพซึ่งกันและกัน" พร้อมเสริมว่าจีนพร้อม "สู้จนถึงที่สุด" หากสหรัฐฯ ต้องการทำสงครามการค้า
"นี่ไม่ใช่เกมเกี่ยวกับภาษีศุลกากรอีกต่อไป แต่เป็นเกมแห่งความมุ่งมั่นเชิงยุทธศาสตร์" จ่าว หมิงห่าว รองผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาอเมริกันของมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น ในเซี่ยงไฮ้ ให้ความเห็นเกี่ยวกับการขึ้นภาษีที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เขากล่าวว่า "จีนเลือกวิธีเตรียมพร้อมที่จะไปให้ถึงที่สุดและยอมจ่ายทุกราคา" และคาดการณ์ว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าจะกลับมาเจรจากันอย่างมีเหตุผล
จ่าว ไห่ ผู้อำนวยการแผนกการศึกษาการเมืองระหว่างประเทศของสถาบันยุทธศาสตร์โลกแห่งชาติ สังกัดสถาบันสังคมศาสตร์จีน กล่าวว่าทรัมป์มี "การตัดสินผิดพลาด" หลายครั้งเกี่ยวกับจีน โดยคาดว่าปักกิ่งจะยอมจำนนต่อแรงกดดัน
"ทรัมป์คิดว่าหากเขากดดันต่อไป จีนจะต้องยอมอ่อนข้อให้เขาอย่างแน่นอน... และผู้นำของเราจะต้องโทรหาเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง" จ่าวกล่าว
เขาอธิบายว่าการที่ประธานาธิบดีสีจะโทรหาทรัมป์เพื่อหารือเรื่องภาษีเป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับ "แนวทางการทูต" ของจีน และทั้งสองประเทศแทบไม่มีการหารือระดับปฏิบัติการเกี่ยวกับประเด็นนี้มาก่อน
แม้จะมีความตึงเครียด รองนายกรัฐมนตรีเหอ หลี่เฟิง ซึ่งรับผิดชอบประเด็นการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ได้หารือเกี่ยวกับอัตราภาษีกับเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าของทรัมป์เมื่อวันที่ 26 มีนาคม หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ทรัมป์จะประกาศ "ภาษีตอบโต้" ต่อประเทศคู่ค้า โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะ "รักษาการสื่อสาร" เกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้า "ส่วนตัวผมคิดว่า เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในระยะสั้น ทรัมป์สามารถริเริ่มโทรหาประธานาธิบดีสีได้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาความตึงเครียดลงได้มาก" จ่าว ไห่ กล่าว "ในฐานะนักธุรกิจ...ที่เก่งในการทำข้อตกลง เขาควรสามารถแสดงความยืดหยุ่นในประเด็นนี้ได้"
ด้านปักกิ่งได้ระดมทรัพยากรทั้งหมดเพื่อรับมือกับผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการเผชิญหน้าที่อาจยืดเยื้อและความเสี่ยงที่อาจขยายวงไปสู่ด้านการเงิน
หวาง อี้เว่ย ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยเหรินหมินในปักกิ่ง ยังเชื่อว่าจีนจะไม่เป็นฝ่ายยื่นมือเข้าสู่การเจรจาก่อน โดยกล่าวว่าจีนได้ส่งสัญญาณไปยังสหรัฐฯ แล้วว่าเศรษฐกิจจีนมีความแข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับภาษีของทรัมป์ได้
นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ของจีนได้ประชุมร่วมกับนักเศรษฐศาสตร์และผู้ประกอบการเมื่อวันพุธ ยืนยันว่าจีนมีความพร้อมและเตรียมการอย่างเต็มที่สำหรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจจีนจากแรงกดดันของสหรัฐฯ โดยกล่าวว่าประเทศควรเน้นการขยายความต้องการภายในประเทศและแนะนำมาตรการกระตุ้นใหม่ๆ "ในเวลาที่เหมาะสม"
หวางมองว่าการที่สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีกับจีนเพิ่มเติมเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ เนื่องจากอัตราภาษีในปัจจุบันทำให้การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ "แทบเป็นไปไม่ได้" อยู่แล้ว จีนได้ปรับตัวโดยกระจายการส่งออกไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้สัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลงเหลือ 13.4% ในปี 2024 จากจุดสูงสุดที่ 21.6% ในปี 2017
ในการประชุมทำงานระดับกลางสองวันซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อวันพุธ ประธานาธิบดีสีได้เน้นย้ำความสำคัญของการเสริมสร้างความเชื่อมโยงในห่วงโซ่อุปทานกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรับมือกับสงครามการค้ากับสหรัฐฯ
คาดว่าสีจะเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเดือนนี้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาษีของทรัมป์เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ปักกิ่งยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกโดดเดี่ยว เนื่องจากคาดว่าประเทศคู่ค้าจะเจรจากับทรัมป์เพื่อแก้ไขปัญหาภาษี แม้ว่าการเจรจาการค้าจะยังคงอยู่ในภาวะชะงักงัน หวางคาดการณ์ว่าสหรัฐฯ และจีนจะกลับมาเจรจากันในที่สุด แต่ความเร็วในการกลับมาเจรจาขึ้นอยู่กับว่าแต่ละฝ่ายจะหาวิธี "รักษาหน้า" ได้อย่างไร
หวางยกตัวอย่างกรณีของอดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มสร้างความสัมพันธ์กับจีนด้วยการเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นประวัติศาสตร์ในปี 1972 "ในสมัยนั้น นิกสันต้องการเยือนจีน แต่หวังให้จีนเป็นฝ่ายเชิญเขาก่อนเพราะไม่อยาก 'เสียหน้า' จึงออกแถลงการณ์ว่า...จีนเชิญเขา ซึ่งโดยแท้จริงแล้วเป็นการประนีประนอมทางการทูต" หวางกล่าว "คนที่ฉลาดในจีนและสหรัฐฯ สามารถหาวิธีการคล้ายๆ กันได้อย่างแน่นอน ขณะนี้ทั้งสองฝ่ายกำลังอยู่ใน 'โหมดเกม' พยายามเอาชนะกันและกัน" เขากล่าวเสริมว่า "ในที่สุด ทรัมป์อาจหาทางออกให้ตัวเองก็ได้"
โจว เชา นักวิจัยจากสถาบันคลังสมองอิสระ Anbound ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในปักกิ่ง กล่าวว่าทรัมป์ก็ไม่น่าจะยอมอ่อนข้อโดยง่าย เนื่องจากการ "ยอมจำนน" ของประเทศในกลุ่มอาเซียนต่อภาษีของเขา "ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับเขา"
รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีว่า กลุ่มอาเซียนจะแสวงหา "การเจรจา" แทนที่จะตอบโต้ภาษีของสหรัฐฯ ทั้งนี้ จีนได้ประณามการ "กลั่นแกล้ง" ของสหรัฐฯ เมื่อทรัมป์เริ่มใช้มาตรการภาษี 104% และประกาศว่าจะใช้มาตรการตอบโต้อย่างเด็ดขาด
โจวกล่าวเสริมว่า แม้จะ "ยาก" สำหรับจีนที่จะเป็นฝ่ายก้าวแรก แต่จีนอาจพิจารณาส่งสัญญาณเชิงบวกไปยังสหรัฐฯ ด้วยมาตรการที่ไม่กระทบต่อ "ผลประโยชน์หลัก" ของตน
เขาเสนอว่าปักกิ่งอาจให้คำมั่น "เชิงสัญลักษณ์" ในการเพิ่มการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวในช่วงสองปีข้างหน้า พร้อมกับขอให้สหรัฐฯ ยกเลิกข้อจำกัดการชำระเงินด้วยดอลลาร์สหรัฐสำหรับธนาคารจีน นอกจากนี้ ปักกิ่งอาจเริ่มต้นระบบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศของศาลทรัพย์สินทางปัญญาที่ถูกระงับไปอีกครั้ง หรือเปิดเขตทดลองการค้าเสรีให้กับบริษัทสหรัฐฯ ในด้านคลาวด์คอมพิวติ้ง
อู๋ ซินป๋อ คณบดีสถาบันศึกษาระหว่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น มองว่าการใช้กลยุทธ์ภาษีมาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว และการยกระดับความรุนแรงต่อไปจะไร้ความหมาย โดยทรัมป์อาจมองหาทางเลือกอื่นในการควบคุมจีนต่อไป เช่น ข้อจำกัดทางเทคโนโลยี ข้อจำกัดการลงทุน มาตรการคว่ำบาตร และการขึ้นบัญชีรายชื่อนิติบุคคล อู๋ยังกล่าวว่า การใช้ภาษีตอบโต้ของจีนส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ โดยแสดงให้เห็นถึงการยึดมั่นในหลักการและความซื่อสัตย์ "หลายประเทศขาดความกล้าหาญที่จะยืนหยัดต่อสู้กับสหรัฐฯ แต่มีเพียงจีนเท่านั้นที่มีความสามารถในการต่อต้าน เราต่อต้านไม่เพียงเพราะสิ่งนี้ทำร้ายผลประโยชน์ของเราเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้น เพราะมันทำลายระบบการค้าระหว่างประเทศและกฎเกณฑ์พหุภาคี" อู๋กล่าวสรุป
---
IMCT NEWS