.

ทรัมป์ขู่จะปลดประธานของเฟดออกจากตำแหน่ง
18-4-2025
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกร้องให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ลดดอกเบี้ยอีกครั้งเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา และยังแสดงท่าทีเป็นนัยถึงความเป็นไปได้ในการ “ปลด” เจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) ประธาน Fed ออกจากตำแหน่ง
ในโพสต์บนแพลตฟอร์ม Truth Social ทรัมป์เขียนว่า:
“ธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดว่าจะลดดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 7 แล้ว แต่ ‘เจอโรม พาวเวลล์ผู้มาช้าเกินไป’ แห่ง Fed ซึ่งมัก ‘มาช้าและผิดเสมอ’ กลับเพิ่งออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ที่เป็นอีกหนึ่งความ ‘วุ่นวาย’ แบบเดิม! ราคาน้ำมันลดลง ราคาของกินของใช้ (แม้แต่ไข่!) ก็ลดลง และสหรัฐฯ กำลังรวยขึ้นจากภาษีศุลกากร (Tariffs) คนที่มาช้าเกินไปอย่างเขาควรจะลดดอกเบี้ยเหมือน ECB ไปนานแล้ว — และควรรีบทำตอนนี้ด้วยซ้ำ การปลดพาวเวลล์ออกน่าจะเกิดขึ้นให้เร็วที่สุด!”
ความเห็นของทรัมป์มีขึ้นในช่วงที่ธนาคารกลางยุโรปกำลังเดินหน้าใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาค โพสต์นี้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากที่พาวเวลล์ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ที่ Economic Club of Chicago ซึ่งเขาได้กล่าวว่า มาตรการเก็บภาษีของฝ่ายบริหารกำลังสร้างความลำบากให้กับ Fed ในการตัดสินใจว่าจะเน้นควบคุมเงินเฟ้อหรือกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ
พาวเวลล์กล่าวว่า: “หากสถานการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น เราจะพิจารณาว่าเศรษฐกิจยังห่างไกลจากเป้าหมายแต่ละด้านแค่ไหน และระยะเวลาที่คาดว่าช่องว่างเหล่านั้นจะปิดได้จะต่างกันอย่างไร” คำพูดนี้มีส่วนทำให้เกิดการเทขายหุ้นอย่างหนักในวันพุธ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์แนวทางนโยบายการเงินของพาวเวลล์ โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 4 เมษายน ซึ่งเป็น 2 วันหลังจากรัฐบาลประกาศมาตรการภาษีศุลกากรในชื่อ “วันปลดแอก” (Liberation Day) ทรัมป์ได้โพสต์ว่า:
“นี่เป็นช่วงเวลาที่ เหมาะสมที่สุด สำหรับประธาน Fed เจอโรม พาวเวลล์ในการลดอัตราดอกเบี้ย เขามักจะ ‘ช้าเสมอ’ แต่ตอนนี้เขายังมีโอกาสเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเอง และต้องรีบทำ” อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกที่ทรัมป์แสดงเจตนาชัดเจนในการเรียกร้องให้ปลดพาวเวลล์ออกจากตำแหน่ง
พาวเวลล์เคยระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ประธานาธิบดีไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการปลดประธาน Fed ออกจากตำแหน่ง โดยกล่าวว่า “ไม่อนุญาตตามกฎหมาย” วาระการดำรงตำแหน่งของพาวเวลล์ในฐานะประธาน Fed จะสิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม ปี 2026 วุฒิสมาชิกเอลิซาเบธ วอร์เรน (Elizabeth Warren) จากพรรคเดโมแครต รัฐแมสซาชูเซตส์ ออกโรงเตือนเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ตลาดการเงินของสหรัฐฯ จะ “พัง” หากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์สามารถปลดประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เจอโรม พาวเวลล์ ออกจากตำแหน่งได้
คำพูดของวอร์เรน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่มักวิจารณ์พาวเวลล์อย่างต่อเนื่อง มีขึ้นระหว่างการให้สัมภาษณ์ในรายการ Squawk on the Street ทางช่อง CNBC เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ทรัมป์โพสต์ข้อความว่า: “การปลดพาวเวลล์ควรเกิดขึ้นให้เร็วที่สุด!” วอร์เรนกล่าวระหว่างปราศรัยที่ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กว่า “ฉันเคยมีความขัดแย้งกับเขา (พาวเวลล์) มาโดยตลอด ทั้งในเรื่องกฎระเบียบและอัตราดอกเบี้ย” “แต่ขอให้เข้าใจตรงกันว่า—หากประธาน Fed สามารถถูกปลดได้โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั่นจะทำให้ตลาดการเงินในสหรัฐฯ พังทลายทันที”
ที่มา ซีเอ็นบีซี
--------------------------------
ธนาคารกลางยุโรปปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 7 รับมือสงครามภาษี 'ทรัมป์'
18-4-2025
ธนาคารกลางยุโรปปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 7 ในรอบปี เมื่อวานนี้ (17 เม.ย.) ที่ผ่านมา โดยมุ่งหวังที่จะพยุงเศรษฐกิจยูโรโซนที่กำลังดิ้นรนอยู่แล้ว ซึ่งจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ธนาคารกลางยุโรปได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เนื่องจากแรงกดดันด้านราคาหลังการระบาดใหญ่ลดลง และความวุ่นวายที่เกี่ยวข้องกับการค้าในตลาดโลกเมื่อไม่นานนี้ยิ่งทำให้มีความจำเป็นต้องผ่อนปรนนโยบายเพิ่มเติม
ธนาคารกลางยุโรปกล่าวว่า "ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นน่าจะทำให้ความเชื่อมั่นของครัวเรือนและบริษัทต่างๆ ลดลง และการตอบสนองของตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยและผันผวนต่อความตึงเครียดทางการค้าน่าจะทำให้เงื่อนไขการจัดหาเงินทุนตึงตัวมากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของยูโรโซนมากขึ้น"
ขณะที่คริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ไม่ได้ให้เบาะแสอะไรเกี่ยวกับอนาคตมากนัก แต่ยืนกรานว่าความไม่แน่นอนยังคงมีมากเกินกว่าที่ธนาคารจะรับปากอะไรได้ และธนาคารจะตัดสินใจเกี่ยวกับขั้นตอนต่อไปเมื่อมีข้อมูลเข้ามา
แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ จะระงับการเรียกเก็บภาษีส่วนใหญ่แล้ว แต่หลายรายการยังคงมีผลบังคับใช้ และความผันผวนในตลาดการเงินได้สร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจไปแล้ว ทำให้บรรดานักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ที่สำรวจโดยรอยเตอร์สคาดการณ์ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในวันพฤหัสบดีนี้ จะทำให้อัตราดอกเบี้ยที่ ECB จ่ายสำหรับเงินฝากธนาคารลดลง 25 จุดพื้นฐานเหลือ 2.25% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของช่วง 1.75%-2.25% ที่ ECB กำหนดไว้ว่าเป็น "กลาง" ซึ่งไม่ได้ส่งเสริมหรือจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ด้วยเหตุนี้ ECB จึงลบข้อความอ้างอิงที่ว่าอัตราดอกเบี้ย "จำกัด" ออกจากข่าวเผยแพร่
เมื่อเดือนที่ผ่านมา (มี.ค.2025) ลาการ์ดกล่าวว่าธนาคารกลางยุโรปคาดการณ์ว่าการเติบโตใน 20 ประเทศที่ใช้เงินยูโรร่วมกันอาจลดลงครึ่งเปอร์เซ็นต์ หากสหรัฐกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรป 25 เปอร์เซ็นต์ และกลุ่มประเทศดังกล่าวตอบโต้ ส่งผลให้การขยายตัวของเขตยูโรลดลงประมาณครึ่งหนึ่ง การประมาณการดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสงครามการค้าสร้างความเสียหายต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ธุรกิจ และผู้บริโภค
แม้ธนาคารกลางยุโรปคาดว่าสงครามการค้าจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 50 จุดพื้นฐาน แต่ความวุ่นวายที่เกิดจากนโยบายการค้าที่ไม่แน่นอนของสหรัฐฯ ก็อาจทำให้เงินเฟ้อลดลงได้เช่นกัน ตัวชี้วัดทางการเงินเกือบทั้งหมดที่มีผลกระทบต่อราคาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับเงินยูโรแข็งค่าขึ้น 9% ท่ามกลางความผันผวนและการซื้อขายที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อพิจารณาจากมูลค่าการค้า ราคาพลังงานลดลงอย่างรวดเร็ว การเติบโตชะลอตัว และจีน ซึ่งเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งของภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจทิ้งผลผลิตบางส่วนไปยุโรป
ธนาคารเพื่อการลงทุนหลายแห่งได้ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของเขตยูโรในปีนี้ โดยมักจะปรับลดลงมาอยู่ที่หรือต่ำกว่าเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางยุโรป โดย HSBC ระบุในบันทึกว่า "แรงกดดันด้านภาวะเงินฝืดกำลังสะสม" ขณะที่ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อลงเหลือ 1.9% สำหรับปีนี้ (2025) และ 1.8% สำหรับปีหน้า (2026)
ก่อนการประชุม นักลงทุนคาดว่าจะมีการปรับลดอย่างน้อยอีก 2 ครั้งในปีนี้ และบางรายถึงกับตั้งราคาไว้ที่ 1 ใน 3 เนื่องจากการเติบโตชะงักงัน ขณะที่ผู้สังเกตการณ์ของธนาคารกลางยุโรปจะพิจารณาความเห็นของลาการ์ดในการแถลงข่าวเวลา 12.45 น. GMT เพื่อหาเบาะแสเกี่ยวกับนโยบายในอนาคต โดยพวกเขาต้องการดูว่าธนาคารกลางยุโรปยังคงอ้างอิงถึงการจำกัดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ วลีดังกล่าวอาจเป็นสัญญาณว่าการผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติมยังคงเป็นพื้นฐาน ขณะเดียวกัน การอัปเดตที่เป็นไปได้เกี่ยวกับผลกระทบของอุปสรรคการค้าก็อยู่ในความสนใจเช่นกัน เนื่องจากคาดว่าเจ้าหน้าที่จะปรับปรุงการประมาณการก่อนที่จะมีการเผยแพร่การคาดการณ์อย่างเป็นทางการฉบับใหม่ในเดือนมิถุนายน (2025) ขณะที่นักลงทุนยังต้องการดูว่า Lagarde ส่งสัญญาณอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ว่าการตัดสินใจของ ECB นั้น "ขึ้นอยู่กับข้อมูล" และจะดำเนินการ "ตามการประชุม"
ในที่สุด Lagarde มีแนวโน้มที่จะถูกถามว่าธนาคารกลางสามารถประเมินผลกระทบของการใช้จ่ายของรัฐบาลเยอรมันที่คาดว่าจะพุ่งสูงขึ้นภายใต้รัฐบาลผสมชุดใหม่ ซึ่งได้ให้คำมั่นว่าจะลงทุนด้านการป้องกันประเทศและโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมากได้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม Lagarde มีแนวโน้มที่จะเลี่ยงคำถามเหล่านี้ เนื่องจาก ECB มีแนวโน้มที่จะประเมินเฉพาะผลกระทบของนโยบายที่ประกาศใช้เท่านั้น มากกว่าข้อเสนอ ขณะที่การใช้จ่ายดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นทั้งการเติบโตและเงินเฟ้อให้มากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ ECB ต้องย้อนกลับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ด้าน Reinhard Cluse นักเศรษฐศาสตร์จาก UBS โต้แย้งว่า ECB จะต้องเริ่มปรับขึ้นต้นทุนการกู้ยืมในปีหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้การกระตุ้นทางการเงินครั้งนี้ดันให้ราคาสูงขึ้นอีกครั้ง “เราเชื่อว่า ECB อาจต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงปลายปี 2026 เพื่อป้องกันไม่ให้เงินเฟ้อสูงเกินไปในปี 2027” คลูสกล่าว “เราคำนึงถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งๆ ละ 25 เบสิสพอยต์ในเดือนกันยายนและธันวาคมปี 2026 เป็น 2.5% ซึ่งสูงกว่าค่ากลางเล็กน้อย”
IMCT News