.

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญ ส่งผลกระทบต่อสินค้าโภคภัณฑ์และทิศทางทองคำแตะ $4,000
18-4-2025
ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังทดสอบระดับเทคนิคสำคัญที่เคยกระตุ้นให้เกิดการดีดตัวกลับครั้งใหญ่ในอดีต ทำให้กลายเป็นสถานการณ์สำคัญที่นักลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์และโลหะมีค่าควรจับตามองอย่างใกล้ชิด ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ร่วงลงอย่างรวดเร็วตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะโลหะมีค่าอย่างทองคำและเงิน เนื่องจากทั้งสองมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับค่าเงินดอลลาร์
การอ่อนค่าของดอลลาร์เกิดจากหลายปัจจัย รวมถึงตลาดหุ้นที่ร่วงลงอย่างรุนแรงซึ่งกระตุ้นให้เกิดการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เพิ่มสูงขึ้นและการคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ตลอดจนความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับนโยบายภาษีศุลกากรใหม่ของอเมริกา อย่างไรก็ตาม หลังจากเผชิญกับการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องกว่าสามเดือน ดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังพบกับจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางในอนาคต รวมถึงผลกระทบต่อสินค้าโภคภัณฑ์และโลหะมีค่า
## จุดวิกฤติที่ระดับ 100
จุดเปลี่ยนสำคัญนี้เกิดจากการที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นเครื่องวัดอัตราแลกเปลี่ยนของดอลลาร์เทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลักของโลก (ไม่ใช่กำลังซื้อภายในประเทศ) กำลังยืนอยู่ที่ระดับแนวรับสำคัญระยะยาวที่ประมาณ 100
ระดับนี้เป็นแนวรับที่แข็งแกร่งมาเป็นเวลาหลายปีและเคยกระตุ้นให้เกิดการดีดตัวกลับอย่างมีนัยสำคัญในอดีต รวมถึงการฟื้นตัวครั้งล่าสุดในเดือนกันยายน 2024 ซึ่งสร้างแรงต้านให้กับราคาโลหะในช่วงหลายเดือนถัดมา
พฤติกรรมของดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ จากจุดนี้จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อทิศทางของสินค้าโภคภัณฑ์และโลหะมีค่า
## สองทางเลือกและผลกระทบต่อราคาทองคำ
หากดัชนีทะลุระดับ 100 ลงไปอย่างชัดเจน อาจเปิดทางให้เกิดการปรับตัวลงที่ลึกยิ่งขึ้น—อาจถึงระดับต่ำ 90 หรือต่ำกว่า—ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกอย่างมากสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ และอาจผลักดันให้ทองคำมุ่งหน้าสู่ระดับ 4,000 ดอลลาร์ และเงินแตะระดับ 40-50 ดอลลาร์หรือสูงกว่า
ในทางตรงกันข้าม หากดัชนีดอลลาร์พบแนวรับที่แข็งแกร่งที่ระดับ 100 ก็มีแนวโน้มว่าจะเกิดการดีดตัวกลับ ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อสินค้าโภคภัณฑ์ แม้กระนั้น ทองคำซึ่งยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง น่าจะเข้าสู่ช่วงพักฐานและคลายความร้อนแรงมากกว่าที่จะเผชิญกับการปรับฐานอย่างรุนแรง
## ความสัมพันธ์แบบผกผันที่ยาวนาน
นักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์ติดตามดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ซึ่งมีประวัติยาวนานของความสัมพันธ์แบบผกผันกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทองคำและเงิน
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา แผนภูมิราคาทองคำแสดงให้เห็นถึงตลาดกระทิงที่แข็งแกร่งซึ่งเกิดขึ้นในรอบปีที่ผ่านมา และพฤติกรรมของดอลลาร์จากจุดนี้เป็นต้นไปจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดระยะถัดไปของการปรับตัวขึ้นของทองคำ
ปัจจุบัน ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังอยู่บนเส้นขอบของแนวรับสำคัญที่ระดับ 100 ซึ่งอาจทะลุลงไปสู่ระดับ 90 และอ่อนค่าลงต่อไป หรืออาจดีดตัวกลับและดันกลับไปสู่ระดับ 100 กว่าๆ เพื่อฟื้นการสูญเสียล่าสุดบางส่วน
## แนวโน้มระยะยาวและการเกิดซูเปอร์ไซเคิลของสินค้าโภคภัณฑ์
ในกรอบเวลาระยะยาว มีมุมมองเป็นลบต่อดอลลาร์ เนื่องจากปัจจุบันมีการประเมินมูลค่าสูงเกินจริงอย่างมากเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยพบในข้อมูลย้อนหลังกว่า 120 ปี ยกเว้นในปี 1933 และ 1985 ซึ่งทั้งสองช่วงตามมาด้วยการลดลงอย่างมีนัยสำคัญของดอลลาร์
ความแข็งแกร่งผิดปกติของดอลลาร์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมาก อย่างไรก็ตาม การปรับฐานที่กำลังจะเกิดขึ้นในมูลค่าของดอลลาร์น่าจะกระตุ้นให้เกิดการพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงทั่วทั้งภาคสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงทรัพย์สินอย่างทองแดง ทองคำ เงิน และหุ้นเหมืองแร่
เมื่อพิจารณาแผนภูมิดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ระยะยาว จะเห็นว่าดัชนีเคลื่อนไหวในช่องขาขึ้นตั้งแต่ประมาณปี 2008 การทะลุออกจากช่องนี้ในที่สุดจะเป็นสัญญาณสำคัญว่าดอลลาร์กำลังเข้าสู่ตลาดขาลงครั้งใหม่ คล้ายกับที่เกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 2000
การเกิดตลาดขาลงของดอลลาร์ในอนาคตอาจจุดชนวนให้เกิดซูเปอร์ไซเคิลสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทรงพลัง คล้ายกับที่เริ่มต้นในช่วงต้นทศวรรษ 2000 เมื่อทุกอย่างตั้งแต่ทองแดงไปจนถึงน้ำมันและข้าวสาลีต่างมีการปรับตัวขึ้นอย่างมหาศาล
เพิ่มเติมจากมุมมองนี้คือการประเมินมูลค่าที่ต่ำมากของสินค้าโภคภัณฑ์เมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ เมื่ออัตราส่วนนี้ถึงจุดสุดโต่งเช่นปัจจุบัน มักจะดีดกลับอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ทั่วทั้งกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์
## สรุป
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ที่จุดเปลี่ยนสำคัญในขณะนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป—ไม่ว่าจะทะลุระดับสำคัญที่ 100 และยังคงร่วงลงต่อไป หรือดีดตัวกลับจากแนวรับนี้จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อการปรับตัวของสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะทองคำและเงินในระยะใกล้ ในภาพใหญ่ โลหะมีค่ายังคงมีแนวโน้มที่แข็งแกร่งไม่ว่าดอลลาร์จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด แต่สถานการณ์นี้มีความสำคัญที่ควรสังเกต เนื่องจากจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของตลาดในครั้งต่อไป
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.moneymetals.com/news/2025/04/16/the-us-dollar-stands-at-a-major-crossroads-003988
-------------------------------------
ทองคำถูกซื้อมากเกินไป แต่ยังอยู่แนวโน้มขาขึ้น
18-4-2025
ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นักลงทุนขายทำกำไรหลังจากราคาทองคำพุ่งทำสถิติใหม่ที่ระดับกว่า 3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากตลาดปิดทำการในวันศุกร์เนื่องในวันหยุดยาวเทศกาลอีสเตอร์ แม้ว่าราคาทองจะดู “ซื้อมากเกินไป” (overbought) แล้วก็ตาม แต่บรรดานักวิเคราะห์หลายคนยังมองว่าตลาดทองยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง แม้จะเผชิญแรงขาย แต่ทองคำยังคงยืนได้ที่แนวรับสำคัญบริเวณ 3,300 ดอลลาร์ โดยราคาซื้อขายล่าสุดของทองคำอยู่ที่ 3,316.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้นเกือบ 2.5% ในสัปดาห์นี้
David Morrison นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Trade Nation อธิบายการเคลื่อนไหวของราคาทองในสัปดาห์นี้ รวมถึงการพุ่งขึ้น 100 ดอลลาร์เมื่อวันพุธว่าเป็นภาวะ “blowoff top” หรือการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วและแรงจนถึงจุดสูงสุดชั่วคราว “ทองพุ่งขึ้นมา 13% หรือประมาณ 360 ดอลลาร์ในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว นักลงทุนจึงไม่ควรแปลกใจหากราคาจะเริ่มถอยลงมาบ้าง ตอนนี้ทองดูอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป โดย MACD รายวันอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดจุดสูงสุดเมื่อเดือนเมษายน ปี 2011 นั่นไม่ได้แปลว่าทองจะขึ้นต่อไม่ได้ แต่ผู้ซื้อควรระมัดระวังในระดับราคาปัจจุบัน”
ความแข็งแกร่งของทองคำยังเกิดขึ้นในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกำลังจะปิดสัปดาห์ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปีที่ 99.49 จุด
Christopher Vecchio หัวหน้าฝ่ายฟิวเจอร์สและฟอเร็กซ์จาก Tastylive.com กล่าวว่าทองคำยังมีแนวโน้มได้รับแรงหนุนจากความอ่อนแอของดอลลาร์สหรัฐต่อไป แม้ว่าดอลลาร์จะยังไม่สูญเสียสถานะสกุลเงินสำรองของโลกในเร็ว ๆ นี้ “เรากำลังถอยห่างจาก Pax Americana มาสู่แนวทาง America First ซึ่งมีกฎเกณฑ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ถึงแม้ยังไม่มีสกุลเงินไหนที่มาแทนดอลลาร์ได้ แต่เราก็อาจต้องการบางสิ่งบางอย่างอื่น และสิ่งนั้นคือทองคำ”
นักวิเคราะห์ค่าเงินจาก Brown Brothers Harriman ก็เชื่อว่าดอลลาร์จะยังคงอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยหนุนราคาทองให้พุ่งขึ้นต่อ “เรายังคงเชื่อว่าความอ่อนแอของดอลลาร์ในช่วงนี้เกิดจากการที่ตลาดเริ่มสูญเสียความเชื่อมั่นในผู้กำหนดนโยบายของสหรัฐฯ รวมถึงผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางนโยบายต่อเศรษฐกิจ ดังนั้นเราคาดว่าดอลลาร์จะยังอ่อนต่อไป และการฟื้นตัวใด ๆ ของดอลลาร์จะเปราะบางมาก ไม่ว่าข้อมูลเศรษฐกิจจะออกมาอย่างไรก็ตาม” Win Thin, หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ค่าเงินโลก กล่าว
ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ Vecchio มองว่าทุกการย่อตัวของทองคือโอกาสในการซื้อสะสม อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำหรับนักลงทุนในระยะสั้นคือ จะประเมินราคาทองในสถานการณ์ที่ร้อนแรงแบบนี้ได้อย่างไร
Lukman Otunuga นักวิเคราะห์อาวุโสจาก FXTM กล่าวว่าการที่ราคาทองทะลุ 3,350 ดอลลาร์ได้ในปีนี้ หมายถึงราคาพุ่งขึ้นมาแล้ว 28% ซึ่งมากกว่าการขึ้น 24% ของปีที่แล้ว
“ทองคำยังคงเปล่งประกายท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะถดถอยทั่วโลก และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ผลักให้นักลงทุนเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ อย่างไรก็ตาม ราคาที่พุ่งขึ้นมากเกินไปแบบนี้อาจนำไปสู่การปรับฐานทางเทคนิคในเร็ว ๆ นี้ หากการปรับฐานเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ราคาทองอาจถอยลงมาที่ระดับ 3,250 หรือ 3,140 ดอลลาร์ โดยมีระดับจิตวิทยาสำคัญที่ 3,000 ดอลลาร์เป็นแนวรับหลัก หากทองยืนเหนือ 3,300 ได้ ก็อาจมีโอกาสขึ้นไปทดสอบ 3,400 ดอลลาร์และสูงกว่านั้น”
Ole Hansen หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์จาก Saxo Bank กล่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่ราคาทองจะปรับฐานลงแรง แต่ยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้
“สุดท้ายแล้วทองจะพักฐานและอาจปรับลง 200–300 ดอลลาร์ แต่คงไม่ใช่สัปดาห์หน้า เพราะตอนนี้ยังมีคำถามที่ไร้คำตอบอีกมาก แถมยังถูกซ้ำเติมด้วยการโจมตีล่าสุดของทรัมป์ต่อพาวเวลล์ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในตลาดพันธบัตรอีกระดับ”
ที่มา Kitco
-----------------------------------------
ทองคำอาจปรับฐานรุนแรง การ์เนอร์'ชี้ตลาดทองคำอยู่ในภาวะ ซื้อมากเกินไป เตือนระวัง กฎ 80/20
18-4-2025
ราคาทองคำพุ่งทะยานสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2025 ท่ามกลางความกังวลทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นและสงครามการค้าที่ขับเคลื่อนด้วยภาษีศุลกากร ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 20% นับตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้น 10% ในเดือนเมษายนหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศภาษีศุลกากร "วันปลดปล่อย" เมื่อวันที่ 2 เมษายน ส่งผลให้นักลงทุนที่เชื่อมั่นในทองคำได้รับผลตอบแทนอย่างงดงาม
การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของทองคำยิ่งเด่นชัดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้นและพันธบัตร ดัชนี S&P 500 ลดลงกว่า 8% ในปีนี้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.33% จากต่ำกว่า 4% ก่อนที่จะเกิดความขัดแย้งด้านภาษีศุลกากร การพุ่งขึ้นของราคาทองคำอาจทำให้หลายคนประหลาดใจ แต่ คาร์ลีย์ การ์เนอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีประสบการณ์ยาวนานไม่รู้สึกเช่นนั้น เนื่องจากเธอมีมุมมองเชิงบวกมาตั้งแต่ปี 2024
"ก่อนหน้านี้ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้โลหะมีค่าสะท้อนปัจจัยเงินเฟ้อและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์เข้าไปในการประเมินมูลค่า แต่ในที่สุดนักลงทุนก็มองข้ามอุปสรรคเหล่านั้นไปได้" การ์เนอร์กล่าวเมื่อเดือนเมษายน 2024
ในขณะนั้น การ์เนอร์คาดการณ์ว่าทองคำจะปรับตัวขึ้น "จนกว่าเราจะทดสอบเส้นแนวโน้มรายสัปดาห์" ปัจจุบันราคาทองคำไม่เพียงทดสอบแต่ยังก้าวข้ามเส้นแนวโน้มดังกล่าว ทำให้การ์เนอร์ต้องปรับมุมมองใหม่ โดยมีความเห็นที่ตรงไปตรงมาเกี่ยวกับอนาคตของทองคำ
## เศรษฐกิจที่ชะลอตัวและสงครามการค้าเป็นแรงหนุนทองคำ
เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจกำลังเผชิญจุดเปลี่ยน หลังจาก GDP เติบโต 3% ในฤดูร้อนที่ผ่านมา ความกังวลเริ่มทวีความรุนแรงเมื่อกิจกรรมภาคการผลิตและบริการลดลง การสูญเสียงานเพิ่มขึ้น และความเสี่ยงเงินเฟ้อกลับมาอีกครั้ง ดัชนีภาคการผลิตของ ISM ลดลงเหลือ 49 ในเดือนมีนาคมจาก 50.9 และดัชนีภาคบริการลดลงเหลือ 50.8 จาก 54 ในเดือนธันวาคม ในทางประวัติศาสตร์ เมื่อค่าดัชนีลดลงต่ำกว่า 50 มักบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังหดตัว
ตลาดแรงงานเริ่มแสดงสัญญาณรอยร้าวหลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดที่สุดนับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 แม้อัตราการว่างงานจะยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ แต่ได้เพิ่มขึ้นเป็น 4.2% จาก 3.5% ในปี 2023 และการเลิกจ้างในตำแหน่งที่มีค่าตอบแทนสูงเริ่มพบมากขึ้น ในไตรมาสแรก มีแรงงานกว่า 497,000 คนถูกเลิกจ้าง ซึ่งเป็นตัวเลขสูงที่สุดของไตรมาสแรกนับตั้งแต่ปี 2009 ตามข้อมูลของ Challenger, Gray & Christmas ในขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อดัชนี CPI เดือนมีนาคมที่ 2.4% แม้จะลดลงอย่างมากจากปี 2022 แต่ยังคงสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางสหรัฐฯ และอาจปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากผลกระทบของภาษีศุลกากร
ทำเนียบขาวได้กำหนดภาษีศุลกากร 25% สำหรับสินค้าจากแคนาดา เม็กซิโก และรถยนต์ รวมถึงภาษีนำเข้าพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้าเกือบทั้งหมด ในขณะที่ความสัมพันธ์กับจีนได้ลุกลามเป็นสงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบ โดยสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสูงถึง 145% ซึ่งอาจส่งผลให้สินค้าหลากหลายประเภทตั้งแต่เสื้อผ้าไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าประสบภาวะเงินเฟ้อ
บรรยากาศความไม่แน่นอนเช่นนี้เป็นปัจจัยเอื้อสำหรับทองคำ ซึ่งมักทำผลงานได้ดีที่สุดเมื่อนักลงทุนแสวงหาที่พักพิงปลอดภัยท่ามกลางความวุ่นวาย สงครามการค้ายังทำให้นักลงทุนเริ่มละทิ้งแหล่งปลอดภัยแบบดั้งเดิมอื่นๆ เพิ่มแรงหนุนให้ทองคำปรับตัวขึ้นต่อไป เงินดอลลาร์สหรัฐและพันธบัตรรัฐบาลถูกขายออก ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะธนาคารกลางทั่วโลกซึ่งถือครองสินทรัพย์เหล่านี้จำนวนมาก เริ่มลังเลที่จะสนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ท่ามกลางข้อขัดแย้งด้านภาษีศุลกากร
คำเตือนจากนักวิเคราะห์หลังการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
ราคาทองคำที่พุ่งทะลุ 3,200 ดอลลาร์สู่ระดับสูงสุดตลอดกาล อาจเป็นสัญญาณว่านักเก็งกำไรที่มีมุมมองบวกอาจเริ่มประมาทเกินไป
การ์เนอร์ไม่ได้มองข้ามความเสี่ยงที่นักลงทุนทองคำอาจเอนเอียงไปทางเดียวกันมากเกินไป และความคิดเห็นล่าสุดของเธออาจทำให้นักลงทุนที่มองบวกบางรายไม่พอใจ
"นี่อาจเป็นความเห็นที่ไม่เป็นที่นิยม แต่ฉันไม่คิดว่าการเติบโตนี้จะยั่งยืน" การ์เนอร์กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ TheStreet "ฉันคิดว่าตลาดทองคำกำลังสร้างจุดสูงสุดแบบพุ่งทะยาน (blow-off top)"
จุดสูงสุดแบบพุ่งทะยานเกิดขึ้นเมื่อราคาปรับตัวขึ้นในแนวดิ่งพร้อมปริมาณการซื้อขายสูง เป็นการเคลื่อนไหวที่นักลงทุนเรียกว่า "พาราโบลิก"
"ฉันเคยเห็นรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาแบบนี้มาก่อน" การ์เนอร์กล่าว "วันนี้เรามีภาวะซื้อมากเกินไป (overbought) เทียบเท่ากับช่วงฤดูร้อนปี 2011 และเราไม่เคยมีภาวะซื้อมากเกินไปขนาดนี้นับตั้งแต่นั้น... แต่ความจริงคือ เมื่อทุกคนมีความคิดเหมือนกัน ตลาดมักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงข้าม"
การ์เนอร์อ้างถึงกฎ 80/20 เป็นเหตุผลที่เธอกังวลเกี่ยวกับอนาคตของราคาทองคำ
"นี่คือเกม 80 ต่อ 20 โดย 80% ของนักเก็งกำไร และฉันไม่ได้พูดถึงนักลงทุน แต่พูดถึงนักเก็งกำไร คนที่ลงทุนด้วยเงินร้อนเพื่อไล่ตามราคา คนเหล่านี้ 80% มักจะผิด นักวิเคราะห์ 80% มักจะผิด มันเป็นเกมที่ยากมากที่จะทำนายอนาคต และถ้า 80% ซึ่งเป็นตัวเลขโดยประมาณจากการสำรวจของเรา มีมุมมองบวกต่อทองคำแล้ว โอกาสที่เราจะเห็นการปรับตัวลงอย่างน่าประหลาดใจมีสูง" การ์เนอร์กล่าว นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทได้ทยอยปรับเพิ่มเป้าหมายราคาทองคำเพื่อให้ทันกับการปรับตัวขึ้น ตัวอย่างเช่น ดอยช์แบงก์ตั้งเป้าราคาที่ 3,700 ดอลลาร์ในปี 2026 เพิ่มขึ้นจาก 2,900 ดอลลาร์ที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม การ์เนอร์มีข้อสรุปที่แตกต่างออกไปอย่างมาก:
"หากคุณทำกำไรในตลาดทองคำได้ในช่วงที่ราคาปรับตัวขึ้น โปรดปกป้องตัวเอง ขายทำกำไรบางส่วน หรืออาจขายทั้งหมดก็ได้ และรอดูสถานการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป"
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.yahoo.com/finance/news/veteran-analyst-predicted-gold-prices-223700384.html