ทรัมป์ต้องเอาปี๊บมาคลุมหัวยอมถอยมาตรการภาษีสองครัง

ทรัมป์ต้องเอาปี๊บมาคลุมหัว ยอมถอยมาตรการภาษีสองครั้ง
ในที่สุดโดนัลด์ ทรัมป์ต้องยอมถอยจากมาตรการภาษีที่บ้าเลือดที่ประกาศในวันที่ 2เมษายน ที่ออกแบบมาเพื่อมุ่งทำลายระบบการค้าโลก และบีบประเทศคู่ค้าทุกประเทศ รวมท้ังจีนให้เข้ามาเจรจากับทรัมป์ที่ทำเนียบขาวเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลของสหรัฐ โดยต้องยอมซื้อสินค้าสหรัฐเพิ่ม และดำเนินนโยบายอื่นๆที่วอชิงตันต้องการ มาตรการภาษีของทรัมป์กลายเป็นความผิดพลาดมหันต์ เพราะว่าสร้างความเสียหายให้กับตลาดหุ้น ตลาดบอนด์ และธุรกิจอเมริกันจนอาจจะกู้ฟื้นคืนมาไม่ได้
ในวันศุกร์ที่ 11เมษายนที่ผ่านมา สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (US Customs and Border Protection)ได้ประกาศยกเว้นการเก็บภาษีสำหรับ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ซึ่งถือเป็นการบรรเทาครั้งสำคัญสำหรับผู้ผลิตเทคโนโลยีระดับโลก โดยเฉพาะ Apple Inc., Nvidia Corp., Samsung Electronics, ASML Holding และ Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. (TSMC) รวมถึงผู้ผลิตจากจีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และเนเธอร์แลนด์ แม้ว่าจะเป็นเพียงมาตรการชั่วคราวก็ตาม
รายการสินค้าที่ได้รับการยกเว้นประกอบด้วยสมาร์ทโฟน (เช่น iPhone ของ Apple และ Galaxy ของ Samsung), คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป (เช่น MacBook, iPad), ฮาร์ดไดรฟ์, โปรเซสเซอร์คอมพิวเตอร์ (CPU), ชิปหน่วยความจำ, และหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ที่ใช้ในระบบ AI จาก Nvidia รวมถึง Apple Watch และ AirTag แต่ไม่รวม AirPods ซึ่งล้วนเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยอดนิยมที่โดยทั่วไปไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังรวมถึงเครื่องจักรผลิตเซมิคอนดักเตอร์จาก ASML ของเนเธอร์แลนด์และ Tokyo Electron ของญี่ปุ่น มีผลให้สินค้าเหล่านี้ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตรา 125% สำหรับสินค้าจากจีน และไม่ต้องเสียภาษีพื้นฐาน 10% ที่จัดเก็บจากเกือบทุกประเทศ
ทรัมป์ต้องเอาปีบหลายใบมาคลุมหัว เพราะว่าไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปซุกที่ไหน หลังจากยอมถอยในการเก็บภาษีมหาโหดที่ไม่ได้คิดอย่างรอบคอบ เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เขาคุยโม้ในที่ประชุมใหญ่ของพรรครีพับรีกันว่ามีผู้นำ หรือตัวแทนจาก70กว่าประเทศที่กำลังเรียงคิวคอยจูบก้นเขา เพราะว่าต้องการเจรจาเพื่อขอผ่อนปรนมาตรการภาษี และยืนยันอย่างหนักแน่นว่าภาษีที่เขาเรียกเก็บจากทุกประเทศทั่วโลกจะไม่มีการผ่อนผันจนกว่าจะมีการเจรจากับคู่ค้าทีละประเทศ
ไปสู่ข้อตกลงเพื่อให้ซื้อสินค้าจากสหรัฐเพิ่ม ซึ่งจะช่วยลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐ และกระตุ้นให้บริษัทต่างๆหันกลับมาลงทุนต้ังโรงงานในสหรัฐในระยะกลาง หรือระยะยาวเพื่อไม่ต้องจ่ายภาษีศุลกากร แม้ว่าภาคธุรกิจ และนักการเงินได้ออกมาเตือนทรัมป์ว่า ภาษีที่เรียกเก็บในอัตราสูงจะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐประสบกับความหายนะ แต่ทรัมป์ดื้อดึงไม่ยอมเชื่อ
ปรากฎว่าตลาดหุ้นโดนเทขายหนักหน่วง มูลค่าตลาดรวมหายไปกว่า$9ล้าน มีความผันผวนสูง ส่วนในตลาดบอนด์ก็มีการเทขายอย่างน่าตกใจ ท้ังๆท่ีตามปกติ เวลานักลงทุนที่ออกจากตลาดหุ้น จะไปหักเงินในตลาดบอนด์ที่ถือว่าเป็นเชฟเฮเว่น แต่สิ่งที่เกิดขึ้น มีการขายท้ังตลาดหุ้นและตลาดบอนด์พร้อมๆกัน ดันยิลด์ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งสูง โดยพันธบัตรอายุ10ปี มียิลด์หรืออัตราผลตอบแทนที่ระดับ3.90%-4.0%ก่อนที่ทรัมป์จะขึ้นภาษี แต่ยิลด์นี้ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วที่4.50% ระหว่างวันที่8-9เมษายน ทำให้ทีมงานของทรัมป์กังวลใจว่าต้นทุนการรีไฟแนนซ์หนี้ของรัฐบาลสหรัฐที่ครบกำหนดชำระ$7กว่าล้านล้านในปีนี้จะสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาดีมานด์สำหรับการออกบอนด์ชุดใหม่
มีรายงานว่าจีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศสและอีกหลายชาติกว่า10ประเทศมีการดั้มบอนด์สหรัฐ แล้วหันไปซื้อทองคำแทน ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ทะลุระดับ$2,200ต่อออนซ์ การเทขายบอนด์ของต่างชาติ โดยเฉพาะจีนที่ขายออกไป$50,000ล้านทำให้ยิลด์ของบอนด์สหรัฐพุ่งและมีผลทำให้เฮดจ์ฟันด์4-5บริษัทที่เก็งกำไรในการเล่นbasis tradeในตลาดบอนด์ด้วยขนาดพอร์ตรวมกันกว่า$1ล้านล้านต้องประสบกับการขาดทุนอย่างรุนแรงจากการที่บอนด์สหรัฐราคาตก และยิลด์พุ่งอย่างรวดเร็วจนปรับโพซิชั่นไม่ทัน ต้องถูกบังคับขาย
นี้คือสาเหตุที่ทำให้ทรัมป์ต้องยอมถอยการเก็บภาษีคร้ังที่ 1ในวันที่ 9เมษายนที่ทำเนียบขาวออกข่าวว่า จะลดภาษีลงให้ประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่รวมท้ังประเทศไทยจากภาษีพื้นฐาน10% และ11%-50%สำหรับประเทศคู่ค้าที่เกินดุลสหรัฐให้เหลือเพียง10%ท้ังหมด แต่จะชะลอการเก็บภาษี90วันเพื่อรอการเจรจาตกลงกันในระหว่างนี้ ยกเว้นภาษีที่เก็บกับจีนที่แลกหมัดกันจนลากไปถึง145% และสี จิ้นผิงโต้กลับไปที่ระดับ25%ยังคงอยู่ รวมท้ังภาษีที่ทรัมป์เรียกเก็บจากแคนาดา &เม็กซิโก25% รวมท้ังภาษีรถยนต์ และเหล็กและอลูมิเนียม25%ที่ไม่ได้เอาออก
การถอยคร้ังแรกของทรัมป์ถือว่าเสียหน้าไปมาก เพราะว่าเป้าหลักคือจีนที่โต้กลับแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน โดยไม่มีความเกรงกลัวใดๆ ในขณะเดียวกันการถอยของทรัมป์ไม่ได้ทำให้อัตราภาษีหายไป ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่มาก ความเสียหายได้เกิดขึ้นจริงๆแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดการเงิน และภาคธุรกิจ เมื่อไม่มีความแน่นอนในนโยบาย ความเสียหายจะแผ่กระจายต่อไปในเศรษฐกิจของสหรัฐที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าอย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากจีน เมื่อตลาดเปิดในวันจันทร์ที่ 14เมษายน ความเสียหายต่อทรัพย์สินของสหรัฐจะเพิ่มขึ้นจนอาจจะเอาไม่อยู่
ทรัมป์จึงต้องยอมถอยคร้ังที่สอง คือการผ่อนผันภาษีที่ประกาศในวันศุกร์ที่ 11เมษายนที่ผ่านมา ตามรายละเอียดข้างต้น พวกบริษัทBig Techที่สนับสนุนทรัมป์ต่างเสียหายทางธุรกิจไปมาก พร้อมกับราคาหุ้นที่ร่วงลงอย่างแรงไม่ปล่อยให้ทรัมป์สร้างความเสียหายเพิ่มเติม จึงมีการกดดันให้ทรัมป์ยูเทิร์นในนโยบายภาษีบ้าเลือด ความจริงกำแพงภาษีทรัมป์ ผู้ที่จ่ายจริงๆคือบริษัทผู้นำเข้าอเมริกัน วึ่งจะส่งต่อต้นทุนที่สูงขึ้นให้ผู้บริโภค ยกตัวอย่างเช่น ภาษีรถยนต์25%จะทำให้คนอเมริกันที่ซื้อรถยนต์ต้องจ่ายแพงขึ้น$2,000-$4,000ต่อคันตามรายงานของGoldman Sachs ในขณะเดียวกัน ผู้ผลิตสหรัฐ ซึ่งโดยรวมผลิตสินค้าได้15%ของความต้องการภายในประเทศ ที่เหลืออีก85%ต้องนำเข้าจากต่างประเทศต้องมีต้นทุนที่สูงขึ้นเหมือนกัน เพราะว่าต้องนำเข้าช้ินส่วน ส่วนประกอบหรือวัตถุดิบจากต่างประเทศมาใช้ในการผลิต
สรุปแล้ว ทรัมป์ต้องยอมถอย ถอยถึงสองก้าวเสียด้วย และต้องกลืนน้ำลายตัวเองจนหมดรูปหมดฟอร์ม ในขณะที่สี จิ้นผิงใช้ความนิ่ง สยบความเคลื่อนไหวกลายเป็นผู้ชนะโดยที่ไม่ต้องออกแรงอะไรมาก ถ้าจะว่าไปแล้วสหรัฐแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มสงครามการค้าจากการเป็นลูกหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้บริโภคสินค้านำเข้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้ไม่มีอำนาจต่อรอง หรือไม่ได้เป็นผู้กำหนดเกมที่แท้จริง ผู้ที่ตะโกนใส่หูทรัมป์ว่า ยูแพ้แล้ว คือยิลด์ที่พุ่งในตลาดบอนด์สหรัฐ ตลาดหุ้นที่จะเละต่อไป และราคาทองคำที่พุ่งสวนยูเอสดอลล่าร์นั่นเอง
By Thanong Khanthong
13/4/2025