.

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้'ปั่นป่วนจากสหรัฐฯ ภายใต้นโยบายทรัมป์ ขณะจีนรอจังหวะเติมช่องว่างทั้งเศรษฐกิจ-ความมั่นคง
23-6-2025
SCMP รายงานว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปั่นป่วนจากนโยบายทรัมป์ จีนรุกคืบขณะสหรัฐฯ ลดบทบาท ห้าเดือนหลังจาก Donald Trump (โดนัลด์ ทรัมป์) ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี สถานการณ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ฐานรากของความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ สั่นคลอนจากการประกาศใช้ภาษีตอบโต้ (punitive tariffs) และการตัดความช่วยเหลืออย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางในภูมิภาค แม้ว่า Washington จะยังคงรักษาสถานะทางทหารโดยจับตาจีนอย่างใกล้ชิด
ผู้เชี่ยวชาญที่ให้สัมภาษณ์กับ This Week in Asia ระบุว่า ความผันผวนนี้ทำให้เกิดความรู้สึกว่าสหรัฐฯ “ไม่น่าเชื่อถือ” ในสายตาอาเซียนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม โอกาสที่อาเซียนจะตัดขาดกับสหรัฐฯ อย่างสิ้นเชิงยังคงเป็นไปได้น้อย เนื่องจากพันธะด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ต่อภูมิภาคยังมีความสำคัญ และจะยังคงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์ของภูมิภาคนี้ต่อไป
ที่เวที Shangri-La Dialogue ในสิงคโปร์ Pete Hegseth (พีท เฮกเซธ) รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ได้กล่าวถึงยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ โดยชี้ถึงการซ้อมรบทางทหารอย่างต่อเนื่องของจีนรอบไต้หวันและการเผชิญหน้าทางทะเลในทะเลจีนใต้ที่ทวีความรุนแรง
“ภัยคุกคามจากจีนเป็นเรื่องจริง และอาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้” Hegseth กล่าว พร้อมเรียกร้องให้พันธมิตรแบ่งเบาภาระด้านความมั่นคง เพื่อให้สหรัฐฯ สามารถจัดสรรทรัพยากรมากขึ้นให้กับภูมิภาคนี้
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่การค้าสหรัฐฯ ก็ให้ความสำคัญกับภูมิภาคนี้เช่นกัน โดยในเดือนเมษายน ทรัมป์ประกาศใช้ภาษีแบบตอบโต้ (reciprocal tariffs) ระหว่าง 10-49% กับเศรษฐกิจอาเซียนที่พึ่งพาการส่งออก การตัดความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ยังส่งผลให้โครงการระยะยาวด้านสาธารณสุข การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การสนับสนุนภาคประชาสังคม และโครงการอื่นๆ ต้องหยุดชะงัก
นอกจากนี้ มาตรการห้ามชาวต่างชาติจาก 19 ประเทศเข้าประเทศสหรัฐฯ ซึ่งมีผลเมื่อ 9 มิถุนายน ยังรวมถึงพลเมืองเมียนมาและลาว การขู่ใช้ภาษีของสหรัฐฯ ยังถูกใช้เพื่อกดดันรัฐบาลทั่วโลกไม่ให้เข้าร่วมการประชุม UN ว่าด้วยทางออกสองรัฐในปัญหาอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ตามรายงานที่ Reuters อ้างอิงจากสายข่าวของสหรัฐฯ
Sarang Shidore ผู้อำนวยการโครงการ Global South ที่ Quincy Institute กล่าวว่า “ภาษีของสหรัฐฯ การดำเนินนโยบายที่ไม่แน่นอน และท่าทีต่อปัญหาตะวันออกกลาง ได้เสริมสร้างภาพลักษณ์ว่าสหรัฐฯ ไม่น่าเชื่อถือในสายตาอาเซียน”
ในระยะสั้น อาเซียนจะพยายามจำกัดความเสียหาย โดยการยอมอ่อนข้อทางการค้าและการเมืองต่อสหรัฐฯ ยังไม่เกินกว่าการวิพากษ์วิจารณ์ทางการทูต ขณะที่ในด้านความมั่นคง สหรัฐฯ ยังคงยืนหยัดสู้กับจีน แต่ในระยะยาว Shidore เตือนว่าความไม่น่าเชื่อถือของสหรัฐฯ จะเร่งให้เกิด “แรงผลักดันเชิงโครงสร้างเพื่อกระจายความเสี่ยง” โดยเฉพาะในประเทศที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง
**บทบาทของอาวุธและความมั่นคง**
กองทัพฟิลิปปินส์ประกาศต้อนรับระบบขีปนาวุธ Typhon จากสหรัฐฯ เพื่อเร่งฝึกทหารและเสริมศักยภาพการป้องปราม Typhon เป็นระบบยิงจรวดภาคพื้นดินที่สามารถยิง Tomahawk และ SM-6 ได้ไกลถึง 2,000 กม. ครอบคลุมทะเลจีนใต้ ช่องแคบไต้หวัน และแม้แต่จีนตอนใต้ ระบบ Typhon ถูกนำเข้าใช้ในฟิลิปปินส์ตั้งแต่ปีที่แล้วในระหว่างการซ้อมรบร่วมกับสหรัฐฯ และยังคงอยู่ที่ลูซอนเหนือเพื่อฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม Shidore ชี้ว่าประเทศอย่างฟิลิปปินส์ยังมีแรงจูงใจที่จะปรับนโยบายให้สมดุลระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในอนาคต
**ผลกระทบด้านเศรษฐกิจและการค้า**
การขู่ใช้ภาษีของทรัมป์ทำให้อาเซียนต้องทบทวนความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ และมองหาทางเลือกใหม่เพื่อการเติบโตในระยะยาว ท่ามกลางห่วงโซ่อุปทานที่ปั่นป่วน Felix Chang นักวิจัยอาวุโสจาก Foreign Policy Research Institute ระบุว่า “ยังไม่เห็นการแตกหักระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ หรืออิทธิพลของสหรัฐฯ ที่เสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว” พร้อมย้ำว่าประเทศในภูมิภาคยังมองว่าสหรัฐฯ เป็นแกนหลักด้านเสถียรภาพ เศรษฐกิจ และความมั่นคง
สหรัฐฯ ยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของอาเซียน โดยมูลค่าการค้าสินค้ารวมกันสูงถึง 476.8 พันล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา และยังเป็นนักลงทุนสำคัญในเทคโนโลยี พลังงาน และอุตสาหกรรม แม้สหรัฐฯ จะลดบทบาทด้านความมั่นคงในยุโรปและตะวันออกกลาง แต่ในเอเชียกลับเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์ กองทัพเรือสหรัฐฯ เพิ่มการลาดตระเวนในทะเลจีนใต้ และยืนยันพันธะต่อ “อินโด-แปซิฟิกเสรีและเปิดกว้าง” พร้อมทั้งยังคงมีบทบาทในเวที ADMM-Plus และการฝึกซ้อมร่วมกับฟิลิปปินส์และไทย
Hunter Marston นักวิจัยจาก Australian National University’s Southeast Asia Institute ระบุว่าพันธมิตรในภูมิภาคต่างรับมือกับความไม่แน่นอนของทรัมป์ในแบบของตน บางประเทศเช่นฟิลิปปินส์กลับยิ่งพึ่งพาสหรัฐฯ ด้านความมั่นคง ขณะที่บางประเทศกระจายพันธมิตรไปยัง EU, แคนาดา, ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย
มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนปีนี้ หันไปหาจีนมากขึ้น โดยรัฐมนตรีการค้า Tengku Zafrul Abdul Aziz ได้หารือกับ Wang Wentao รัฐมนตรีพาณิชย์จีน เพื่อกระชับความร่วมมือ ที่การประชุมสุดยอดอาเซียนในกัวลาลัมเปอร์ มีการเรียกร้องให้รวมภูมิภาคมากขึ้นและเสริมความยืดหยุ่นต่อความปั่นป่วนของการค้าโลก
Marston ชี้ว่าพฤติกรรมการกระจายความเสี่ยงของอาเซียนเกิดขึ้นก่อนยุคทรัมป์แล้ว และการบริหารของทรัมป์ไม่ได้จุดประกายพฤติกรรมใหม่ที่มากไปกว่าความกังวลเดิม
**อาเซียนกับการจัดสมดุลใหม่**
Hanh Nguyen นักวิจัยด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจาก Yokosuka Council on Asia Pacific Studies ระบุว่า แม้สุนทรพจน์ของ Hegseth จะเน้นย้ำการคงอยู่และเสริมศักยภาพทางทหารของสหรัฐฯ ในภูมิภาค แต่การพึ่งพากำลังทหารอย่างเดียวขณะลดบทบาทด้านเศรษฐกิจและ soft power ไม่ใช่สิ่งที่อาเซียนต้องการ
ในยุคทรัมป์ สหรัฐฯ ถอนตัวจาก Trans-Pacific Partnership (TPP) เปิดโอกาสให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้หันไปพึ่งพาจีนมากขึ้น ตัวอย่างของฟิลิปปินส์ที่ต้องเผชิญทางเลือกระหว่างความต้องการด้านความมั่นคงกับสหรัฐฯ กับความจำเป็นทางเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาจีน
Lucio Blanco Pitlo III นักวิจัยจาก Asia Pacific Pathways to Progress Foundation ระบุว่าสหรัฐฯ ควรเสนอทางเลือกที่แข็งแกร่งกว่าให้ภูมิภาค เช่น การเปิดตลาด ส่งเสริมการลงทุนและถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมถึงการร่วมผลิตอาวุธและลงทุนในอุตสาหกรรมต่อเรือของพันธมิตร
**อนาคตของอาเซียนกับสหรัฐฯ และจีน**
ภาษีของทรัมป์ที่ประกาศเมื่อ 2 เมษายน ถูกระงับชั่วคราว 90 วัน เปิดโอกาสให้ประเทศอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม และไทย เจรจาต่อรอง แม้ไม่แน่ชัดว่าทรัมป์จะเดินหน้ากดดันประเทศที่ไม่เปิดตลาดให้สหรัฐฯ หรือไม่ แต่อาเซียนได้รับสัญญาณชัดเจนว่าต้องหาคู่ค้าใหม่
มาเลเซียหันไปหาจีนมากขึ้นหลังถูกขู่ใช้ภาษี ขณะที่อาเซียนโดยรวมยังไม่มีจุดยืนร่วมต่อความปั่นป่วนทางการค้า
อินโดนีเซียยังคงส่งเสริมความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ แม้จะกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับจีนโดยเฉพาะในภาคเหมืองแร่
ในเดือนเมษายน อินโดนีเซียและสหรัฐฯ ยืนยันความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในด้านการเมือง ความมั่นคง การค้า และการลงทุน ระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศ Sugiono กับ Marco Rubio รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ
Felix Chang สรุปว่า “แม้จะมีความปั่นป่วนในยุคต้นของทรัมป์ ผมเชื่อว่าอาเซียนไม่น่าจะหันหลังให้สหรัฐฯ อย่างสมบูรณ์ ตรงกันข้าม ประเทศในภูมิภาคจะยังคงแบ่งแยกความชอบ Leaning น้อยลงไปทางสหรัฐฯ แต่ไม่ถึงกับตัดขาด”
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์เตือนว่าสหรัฐฯ ไม่ควรมองว่าพันธมิตรเก่ายังมั่นคงเหมือนเดิม โดยเฉพาะเมื่อความรู้สึกของประชาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มเปลี่ยนไปจากนโยบายแข็งกร้าวของสหรัฐฯ และการบีบให้เลือกข้างระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ผลสำรวจ ISEAS-Yusof Ishak Institute ปีนี้พบว่า 47.7% ของผู้ตอบแบบสอบถามใน 11 ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเลือกจีนหากต้องเลือกข้าง
Shidore สรุปว่า “หลายประเทศในอาเซียนจะพยายามรวมกลุ่มกันมากขึ้น และสร้างพันธมิตรนอกภูมิภาคมากขึ้น” พร้อมระบุว่าประเทศที่มีศักยภาพสูงจะสามารถขับเคลื่อนไปในทิศทางนี้ได้
เมื่อเดือนที่แล้ว ผู้นำอาเซียน สภาความร่วมมือรัฐอ่าว (GCC) และจีน พบกันที่กัวลาลัมเปอร์ในการประชุมสุดยอดครั้งแรก เพื่อกระชับความร่วมมือด้านการค้า ห่วงโซ่อุปทาน โครงสร้างพื้นฐาน และการเงิน
อินโดนีเซียกลายเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบลำดับที่ 10 ของกลุ่ม BRICS ที่นำโดยจีนในเดือนมกราคม และเวียดนามได้รับสถานะพันธมิตรในเดือนนี้ ร่วมกับมาเลเซียและไทย
Shidore กล่าวเสริมว่า “ความไม่แน่นอนของนโยบายวอชิงตันและความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน จะผลักดันให้ภูมิภาคนี้หาทางประกันความเสี่ยงผ่านการจัดสมดุลหลายขั้วและการรวมกลุ่มภูมิภาคมากขึ้น”
Chang ทิ้งท้ายว่า อาเซียนเตือนสหรัฐฯ หลายครั้งแล้วว่าอย่าบีบบังคับให้ภูมิภาคต้องเลือกข้างระหว่างอเมริกากับจีน
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.scmp.com/week-asia/politics/article/3315260/trumps-america-leaves-southeast-asia-spin-china-waiting-wings?module=spotlight&pgtype=section
Illustration: Huy TruongIllustration: Huy Truong