.

ทำไมเยอรมนีขอนำทองคำที่ฝากที่ต่างประเทศกลับที่มาตุภูมิ
28-6-2025
แคมเปญการนำทองคำกลับคืนประเทศอย่างเงียบ ๆ ที่เยอรมนีเริ่มขึ้นเมื่อกว่าทศวรรษที่แล้ว บัดนี้ได้กลายเป็นการจุดประกายให้ทั่วโลกหันกลับมาทบทวนใหม่ว่า ใครกันแน่ที่ควบคุมทรัพย์สินแห่งชาติ (sovereign wealth) ปีเตอร์ เบอริงเงอร์ (Peter Boehringer) ผู้ออกแบบโครงการนำทองคำของเยอรมนีกลับคืน กล่าวว่า สิ่งที่เริ่มต้นจากการอภิปรายในรัฐสภาเพียงแห่งเดียว กำลังขยายวงไปยังธนาคารกลางทั่วโลก
“ผมเริ่มเรื่องนี้ในปี 2007 หลายปีที่ผ่านมามีแค่ผมคนเดียวที่ตั้งคำถามเหล่านี้ในรัฐสภา” เบอริงเงอร์ให้สัมภาษณ์กับ Kitco News “มันใช้เวลาถึงหกปีกว่าที่จะได้คำตอบ และเราเพิ่งเริ่มลงมือจริงจังในปี 2013 เรานำทองคำกลับมาได้ 674 ตัน – นั่นถือว่าประสบความสำเร็จ แต่จริง ๆ แล้ว ผมต้องการให้ทองทั้งหมดกลับคืนมา”
ระหว่างปี 2013 ถึง 2017 เยอรมนีได้เคลื่อนย้ายทองคำ 300 ตันจากธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขานิวยอร์ก (Federal Reserve Bank of New York) และอีก 374 ตันจากธนาคารกลางฝรั่งเศส (Banque de France) กลับมายังแฟรงก์เฟิร์ต ปฏิบัติการนี้นับเป็นหนึ่งในกระบวนการเคลื่อนย้ายทองคำจริงที่ใหญ่ที่สุดโดยรัฐหนึ่งนับตั้งแต่ระบบเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods) สิ้นสุดลงในปี 1971
“เรายังไม่ได้ทองแท่งเดิมกลับมาด้วยซ้ำ” เบอริงเงอร์กล่าว “พวกเขาหลอมมันใหม่และแทนที่ด้วยแท่งอื่น เราก็ต้องยอมรับแบบนั้น แต่ฟอร์ตน็อกซ์ (Fort Knox) ล่ะ? ไม่มีการตรวจสอบเลยแม้แต่ครั้งเดียวในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา แบบนี้มันยอมรับไม่ได้”
รัฐบาลสหรัฐฯ อ้างว่ามีทองคำมากกว่า 4,500 ตันเก็บไว้ที่ Fort Knox แต่ก็ไม่มีการตรวจสอบอย่างเป็นอิสระเต็มรูปแบบตั้งแต่ปี 1953 โดยมีเพียงการตรวจบางส่วนครั้งล่าสุดในปี 2017 ตามข้อมูลจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ความไม่โปร่งใสนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยและการตรวจสอบเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากฝ่ายนิติบัญญัติในเยอรมนีและออสเตรีย
“ความจริงก็คือ เราเชื่อมั่นในระบบดอลลาร์หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะเราไม่มีทางเลือก” เบอริงเงอร์กล่าว “แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องของความเชื่อใจอีกต่อไป มันคือเรื่องของการควบคุม ถ้าเงินสำรองของคุณอยู่ในต่างประเทศ คุณก็ไม่ได้เป็นเจ้าของมันอย่างแท้จริง”
มุมมองนี้กำลังสะท้อนอยู่ในแนวโน้มที่กว้างขึ้น จากการสำรวจใหม่ในปี 2025 โดยสถาบัน Official Monetary and Financial Institutions Forum (OMFIF) พบว่า 70% ของธนาคารกลางกล่าวว่าสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐฯ ทำให้ไม่มั่นใจในการถือครองเงินดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 37% ในปีที่แล้ว ขณะที่ผู้จัดการเงินสำรองหนึ่งในสามมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนการถือครองทองคำในช่วงสองปีข้างหน้า และ 40% มีแผนจะเพิ่มภายในทศวรรษนี้
“ธนาคารกลางล้มเหลวไม่ใช่แค่ในด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ล้มเหลวทางคุณธรรมด้วย” เบอริงเงอร์กล่าว “เรากำลังพิมพ์เงินจากอากาศธาตุ ไม่มีพื้นฐานที่มั่นคง ระบบเงินเฟียตทั้งหมดนี้ไม่มีทางยั่งยืนได้ เราจำเป็นต้องกลับไปสู่สิ่งที่จับต้องได้อีกครั้ง”
ราคาทองคำในตลาดซื้อขายทันที (spot gold) ปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 3,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 27% ตั้งแต่ต้นปี ตามข้อมูลจาก Bloomberg เบอริงเงอร์ให้เครดิตการพุ่งขึ้นของราคาทองคำกับความต้องการจากธนาคารกลางทั่วโลก การลดคุณค่าของเงิน และการตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับ “ความเสี่ยงจากผู้ดูแลทรัพย์สิน” (custodial risk)
“ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นประเทศที่มีความรอบคอบทางการเงิน” เบอริงเงอร์กล่าว “ตอนนี้เรากลายเป็นเหมือนประเทศอื่น ๆ ที่ลดค่าเงินของตัวเอง ‘เบรกหนี้’ ก็อยู่ในรัฐธรรมนูญ แต่กลับถูกมองข้ามไป ไม่มีแม้แต่เจตจำนงทางการเมือง”
กฎหมายเบรกหนี้ของเยอรมนี หรือที่เรียกว่า “Schuldenbremse” จำกัดการกู้ยืมของรัฐบาลกลางใหม่ไว้ที่ไม่เกิน 0.35% ของ GDP แต่กฎหมายนี้ถูกระงับใช้หลายครั้งตั้งแต่ปี 2020 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าอัตราหนี้ต่อ GDP ของเยอรมนีจะเกิน 66% ภายในปี 2026 ซึ่งจะเป็นระดับสูงที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ
เมื่อถูกถามว่าเยอรมนีควรเพิ่มการถือครองทองคำหรือไม่ เบอริงเงอร์ตอบว่า: “ใช่ แน่นอน เรายังต้องการมากกว่านี้ และเราต้องการให้มันอยู่ที่นี่ ไม่ใช่อยู่ในต่างประเทศ”
เยอรมนีถือครองทองคำ 3,352 ตัน ทำให้เป็นประเทศที่ถือทองคำสำรองอย่างเป็นทางการมากเป็นอันดับสองของโลก รองจากสหรัฐฯ ธนาคารกลางเยอรมนี (Bundesbank) ระบุว่า ณ ปี 2023 ทองคำจำนวน 50.5% ของทั้งหมดถูกเก็บไว้ในแฟรงก์เฟิร์ต ส่วนที่เหลือยังคงเก็บไว้ที่นิวยอร์กและลอนดอน
บิตคอยน์มักถูกกล่าวถึงในฐานะสินทรัพย์สำรองทางเลือก แต่เบอริงเงอร์ ซึ่งเป็นลิเบอร์ทาเรียนมายาวนาน กลับแสดงความระมัดระวัง
“บิตคอยน์น่าสนใจ ผมชอบแนวคิดเบื้องหลังมัน แต่บิตคอยน์ไม่ใช่สินทรัพย์สำรองที่มีอธิปไตย” เขากล่าว “ธนาคารกลางจะไม่มีวันไว้ใจสิ่งที่พวกเขาควบคุมไม่ได้”
เบอริงเงอร์ยังปฏิเสธแนวคิดที่ว่ายูโรจะสามารถมาแทนดอลลาร์ได้อย่างจริงจัง
“ยูโรก็เป็นเพียงอีกสกุลเงินเฟียตหนึ่ง” เขากล่าว “มันไม่ได้ดีกว่าดอลลาร์ มันไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ไม่มีความรับผิดชอบ และเราเองก็ไม่มีเอกภาพทางการคลัง นั่นคือเหตุผลที่โครงการนี้จะล้มเหลวในท้ายที่สุด”
เมื่อถูกถามว่าเยอรมนีควรสนับสนุนการจัดตั้งคลังทองคำแห่งใหม่ในยุโรปหรือไม่ เบอริงเงอร์บอกว่าแนวคิดนี้มีความน่าสนใจ แม้ว่าจะเป็นประเด็นอ่อนไหวทางการเมืองก็ตาม
“เราพูดเรื่องนี้ออกมาอย่างเปิดเผยไม่ได้” เขากล่าว “ไม่มีแผนการอย่างเป็นทางการ แต่คำถามนี้สำคัญ”
หากสัดส่วนของดอลลาร์ในทุนสำรองทั่วโลกลดลงจาก 58% เหลือ 50% ภายในปี 2035 ตามที่ IMF คาดการณ์ โลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร?
“ถ้าดอลลาร์ลดจาก 58% เหลือ 50% นั่นหมายถึงความแตกแยก” เบอริงเงอร์กล่าว “และในโลกแบบนั้น ทองคำจะกลายเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันได้”
ที่มา Kitco News