ลี แจมยอง ระบุ ข้อเรียกร้องการลงทุนของสหรัฐฯ

ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ลี แจมยอง ระบุ ข้อเรียกร้องการลงทุนของสหรัฐฯ อาจจุดชนวนวิกฤตการเงิน
22-9-2025
ประธานาธิบดีลีแจมยองของเกาหลีใต้เตือนว่า เศรษฐกิจของประเทศอาจเผชิญวิกฤตรุนแรงเทียบเท่าวิกฤตปี 1997 หากรัฐบาลยอมรับข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ในการเจรจาการค้าที่หยุดชะงักอยู่ โดยไม่มีมาตรการป้องกันใด ๆ เขากล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์
เกาหลีใต้และสหรัฐฯ ได้ตกลงด้วยวาจาเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ในข้อตกลงการค้าที่สหรัฐฯ จะลดภาษีนำเข้าสินค้าเกาหลีใต้ที่กำหนดขึ้นในสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แลกกับการลงทุนจากเกาหลีใต้เป็นมูลค่า 350,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกับมาตรการอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงนี้ยังไม่ได้ถูกลงนามอย่างเป็นทางการ เนื่องจากยังมีข้อพิพาทเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับเงินลงทุนดังกล่าว ลีกล่าว
“หากไม่มีข้อตกลงสวอปเงินตรา แล้วเราต้องถอนเงิน 350,000 ล้านดอลลาร์ตามเงื่อนไขของสหรัฐฯ และลงทุนเป็นเงินสดทั้งหมดในสหรัฐฯ เกาหลีใต้จะเผชิญสถานการณ์เช่นเดียวกับวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 1997” เขากล่าวผ่านล่าม
ในการให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบประธานาธิบดีเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ลียังได้กล่าวถึงการบุกตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ ที่ควบคุมตัวชาวเกาหลีหลายร้อยคน รวมถึงความสัมพันธ์ของโซลกับเกาหลีเหนือที่เป็นคู่ปรับ จีนซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านยักษ์ใหญ่ และรัสเซีย
อย่างไรก็ตาม ประเด็นการเจรจาการค้าและความมั่นคงกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรทางทหารและเศรษฐกิจอันดับต้น ๆ ของเกาหลีใต้ กำลังบดบังการเยือนสหรัฐฯ ของลีในวันจันทร์นี้ ซึ่งเขาจะเดินทางไปยังนครนิวยอร์กเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ และจะเป็นประธานการประชุมคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ดำรงตำแหน่งนี้
ยกย่องการจัดการของทรัมป์ต่อกรณีบุกตรวจฮุนได
ลี ซึ่งเป็นนักการเมืองสายเสรีนิยม เข้าดำรงตำแหน่งในเดือนมิถุนายนหลังชนะการเลือกตั้งฉุกเฉิน ภายหลังประธานาธิบดีสายอนุรักษ์นิยมคนก่อน ยุนซอกยอล ถูกถอดออกจากตำแหน่งและถูกจำคุกจากกรณีประกาศกฎอัยการศึกชั่วคราว ลีได้พยายามสร้างความสงบให้กับประเทศและเศรษฐกิจ พร้อมระบุว่า เขาวางแผนจะใช้โอกาสในการเยือนสหรัฐฯ ครั้งนี้เพื่อบอกกับโลกว่า “เกาหลีที่เป็นประชาธิปไตยกลับมาแล้ว”
ลีได้พบกับทรัมป์เป็นครั้งแรกในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่าเขาได้สร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวที่แน่นแฟ้นกับผู้นำสหรัฐฯ แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่สามารถออกแถลงการณ์ร่วม หรือประกาศข้อตกลงที่เป็นรูปธรรมได้
อย่างไรก็ตาม ในเดือนนี้ รัฐบาลของทรัมป์ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับเกาหลีใต้ ด้วยการจับกุมแรงงานชาวเกาหลีกว่า 300 คนที่โรงงานแบตเตอรี่ของบริษัทฮุนได มอเตอร์ ในรัฐจอร์เจีย โดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯ กล่าวหาว่ามีการละเมิดกฎหมายตรวจคนเข้าเมือง
ลีกล่าวว่าชาวเกาหลีใต้ต่างรู้สึกไม่พอใจตามธรรมชาติต่อการปฏิบัติที่ “รุนแรง” ต่อแรงงานเหล่านั้น — โดยฝ่ายทรัมป์ได้เผยแพร่ภาพแรงงานชาวเกาหลีในสภาพถูกใส่กุญแจมือ — และเตือนว่าเหตุการณ์ดังกล่าวอาจทำให้บริษัทต่าง ๆ ลังเลที่จะลงทุนในสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม เขาระบุว่าการบุกจับครั้งนี้จะไม่กระทบต่อพันธมิตรระหว่างสองประเทศ พร้อมกล่าวชื่นชมทรัมป์ที่เสนอให้แรงงานเหล่านั้นสามารถพำนักอยู่ต่อได้ ลียังกล่าวว่าเขาไม่เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นคำสั่งโดยตรงจากทรัมป์ แต่เป็นผลจากการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดเกินควรของเจ้าหน้าที่
“ผมไม่เชื่อว่านี่เป็นเจตนาโดยตรง และทางสหรัฐฯ ได้ขอโทษต่อเหตุการณ์นี้แล้ว และเราตกลงที่จะหามาตรการที่เหมาะสมร่วมกัน ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการ” เขากล่าว
ทางสำนักงานของลีระบุว่า ยังไม่มีแผนให้เขาพบกับทรัมป์ในนครนิวยอร์ก และการเจรจาการค้าไม่ได้อยู่ในวาระของการเยือนครั้งนี้
อุปสรรคในการเจรจาการค้า
รัฐมนตรีพาณิชย์ โฮเวิร์ด ลัตนิก ระบุว่าเกาหลีใต้ควรดำเนินตามข้อตกลงที่ญี่ปุ่นทำไว้กับสหรัฐฯ เขากล่าวว่าโซลจำเป็นต้องยอมรับข้อตกลงดังกล่าว หรือยอมจ่ายภาษี โดยอ้างตามแนวทางของรัฐบาลทรัมป์ที่ระบุว่ารัฐบาลต่างประเทศต้องจ่ายภาษีเหล่านี้ ทั้งที่ในความเป็นจริง ผู้นำเข้าสินค้าในสหรัฐฯ เป็นผู้จ่ายภาระภาษีดังกล่าว
เมื่อถูกถามว่าเขาจะถอนตัวจากข้อตกลงหรือไม่ ลีตอบว่า: “ผมเชื่อว่าในหมู่พันธมิตรที่เป็นสายเลือดเดียวกัน เราจะสามารถรักษาระดับของเหตุผลไว้ได้อย่างน้อยที่สุด”
เกาหลีใต้ได้เสนอข้อตกลงสวอปเงินตรากับสหรัฐฯ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการลงทุนขนาดใหญ่ต่อค่าเงินวอนในตลาดภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ลีไม่ได้กล่าวถึงว่าสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะตอบรับข้อเสนอนี้หรือไม่ และไม่ได้ระบุว่ามาตรการดังกล่าวจะเพียงพอให้ข้อตกลงเดินหน้าต่อไปได้หรือไม่
เขากล่าวว่าเกาหลีใต้แตกต่างจากญี่ปุ่น ซึ่งได้ทำข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม โดยญี่ปุ่นมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมากกว่าเกาหลีใต้ถึงสองเท่า (เกาหลีใต้มีอยู่ประมาณ 410,000 ล้านดอลลาร์) อีกทั้งเงินเยนยังเป็นสกุลเงินที่ใช้ในระดับนานาชาติ และญี่ปุ่นยังมีสายสวอปกับสหรัฐฯ แล้ว
โซลและวอชิงตันได้ตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรว่าทุกโครงการลงทุนต้องมีความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์ แต่ลีระบุว่าการหาข้อสรุปในรายละเอียดนั้นยังเป็นเรื่องยาก
“การบรรลุข้อตกลงในรายละเอียดที่รับประกันความสมเหตุสมผลในเชิงพาณิชย์ คือภารกิจหลักในตอนนี้ — และมันก็ยังเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดด้วย” ลีกล่าว พร้อมเสริมว่า ข้อเสนอในระดับการเจรจาทางเทคนิคยังไม่มีหลักประกันใด ๆ ว่าโครงการจะคุ้มทุน ซึ่งทำให้ช่องว่างระหว่างสองฝ่ายยังคงห่างไกล
ด้านทรัมป์กล่าวว่าการลงทุนทั้งหมดจะเป็นการ “คัดเลือก” โดยเขาเอง และจะถูกควบคุมโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งหมายความว่าวอชิงตันจะมีอำนาจตัดสินใจว่าเงินลงทุนจะไปที่ใด
อย่างไรก็ตาม ที่ปรึกษานโยบายของลี นายคิม ยงบอม กล่าวว่า ในเดือนกรกฎาคม เกาหลีใต้ได้เพิ่มกลไกป้องกันความเสี่ยงด้านการเงิน โดยมุ่งสนับสนุนเฉพาะโครงการที่มีความเป็นไปได้ทางพาณิชย์ แทนที่จะให้การสนับสนุนทางการเงินแบบไม่มีเงื่อนไข
ลีระบุว่า เกาหลีใต้และสหรัฐฯ ไม่มีความเห็นต่างในเรื่องการเพิ่มส่วนแบ่งงบประมาณป้องกันประเทศของเกาหลีใต้เอง ซึ่งยังคงได้รับการสนับสนุนจากทหารอเมริกัน 28,500 นายที่ประจำการอยู่บนคาบสมุทรเกาหลี แต่สหรัฐฯ ต้องการแยกประเด็นด้านความมั่นคงออกจากการเจรจาการค้า
เมื่อถูกถามว่า การเจรจาอาจยืดเยื้อไปจนถึงปีหน้าหรือไม่ ลีตอบว่า: “เราควรยุติสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนนี้ให้เร็วที่สุด”
ที่มา CNBC