.

ดิ้นเฮือกสุดท้ายของทรัมป์และทางรอดของไทย
ถ้าจะว่าไปแล้ว ทรัมป์กำลังย้อนกลับไปใช้ลัทธิพานิชย์นิยม (mercantilism) ซึ่งเป็นแนวความคิดในยุโรประหว่างศตวรรษที่16-18ในยุคของการสร้างรัฐ การขยายตัวของการค้าโลก และความรุ่งเรืองของจักรวรรดินิยม โดยโปรตุเกส เสปน ดัทช์ ฝรั่งเศส อังกฤษแข่งกันขยายเครือข่ายการค้าโลก ขยายดินแดนอาณานิคม เพื่อชิงทรัพยากรธรรมชาติ
ลัทธิพานิชย์นิยมเน้นการส่งออก ลดการนำเข้าเพื่อการเกินดุลการค้าจะได้กอบโกยทองคำ หรือsilver ซึ่งเป็นเงินหรือความมั่งคั่งที่แท้จริงเข้าประเทศให้มากที่สุด ในขณะเดียวกันรัฐจะดำเนินนโยบายช่วยการส่งออก และกีดกันการค้าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ นโยบายนี้เป็นเรื่องzero sum game หรือมีคนได้ และคนเสีย ไม่ใช่win win ทั้งคู่
ลัทธิพานิชย์นิยมเริ่มเสื่อมลงหลังจากความคิดเรื่องการค้าเสรี และLaissez-Faireเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น จากผลงานของAdam Smith ผู้เขียนตำราทุนนิยม Wealth of Nations ในปี 1776 ที่บอกว่าการค้าเสรีจะเพิ่มความมั่งคั่งให้ทุกฝ่าย แทนที่จะเน้นการสะสมทองคำ หรือsilver ประเทศต่างๆควรให้ความสำคัญกับการผลิตมากกว่า เพราะว่าการผลิตเป็นพื้นฐานของความมั่งคั่งที่แท้จริง นอกจากนี้หากการค้าเสรีจะไปได้ดี รัฐต้องไม่เข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจหรือการค้า ควรปล่อยให้กลไกตลาดหรือมือที่มองไม่เห็นทำงานของมันเอง ซึ่งจะทำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
เมื่อเทคโนโลยีการผลิตพัฒนาขึ้น ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญที่เฉพาะ(specialization)เช่นประเทศที่ผลิตสิ่งทอได้ดีสามารถขายสินค้าให้ประเทศที่ทำเกษตรหรืออุปกรณ์หรือสินค้าอื่นที่เก่งกว่าได้ จะได้ไม่ต้องพะวงกับการแข่งขันเรื่องเกษตรกับอุปกรณ์ที่ตัวเองไม่ถนัด การนำเข้าทดแทนจะดีกว่า การค้าเสรีทำให้ผู้บริโภคหรือเศรษฐกิจโดยรวมได้ประโยชน์สูงสุด ฟังแล้วดูดี แต่ไปๆมาๆการค้าเสรีก็ไม่เสรีจริง เพราะท้ายที่สุดประเทศที่เป็นปลาใหญ่จะกินประเทศที่เป็นปลาเล็ก และจะแสวงหาการผูกขาดจะได้ไม่มีคู่แข่ง และได้กำไรสูงสุด
การผูกขาดเงืนตราให้เป็นเงินสกุลหลักของโลกจึงเป็นเป้าหมายสูงสุดในระบบการค้า หรือเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพราะเมื่อประเทศใดผูกขาดการออกเงินตราเช่น เปโซ ฟรังค์ หรือปอนด์จะทำให้มีอำนาจซื้อเหนือกว่าคู่แข่งอื่นๆ เพราะเงินสกุลหลักจะเป็นสื่อกลางของการทำธุรกรรมการค้าและการเงินส่วนใหญ่ทั้งหมด จะเพิ่มปริมาณเงินสกุลหลักเข้าระบบเท่าใดก็ได้ ตราบเท่าที่มีเศรษฐกิจ การค้า และแสนยานุภาพเป็นอำนาจการต่อรองที่รองรับ เมื่อสเปน ดัทช์ ฝรั่งเศส อังกฤษเสื่อมถอย สหรัฐก็ขึ้นมาเสียบแทน
หลัง WW2 และหลังสงครามเย็นสิ้นสุดในปี 1991 ทุนนิยมโลกพัฒนามาถึงจุดสูงสุดผ่านโลกาภิวัตน์ การค้าเสรี และเงินดอลล่าร์ โดยมาสหรัฐเป็นโมเดลผู้นำเรื่อยมา แต่สหรัฐเริ่มมีปัญหาก่อนหน้านี้แล้วคือในปี 1968ที่เริ่มมีการขาดดุลการค้า และการขาดดุลการคลังที่ตามมา แต่เนื่องจากดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลกจึงสามารถก่อหนี้ผ่านการออกบอนด์ได้ เพื่อการบริโภคเกินตัว ในขณะที่ประเทศต่างๆมุ่งเน้นการส่งออกเพื่อสะสมความมั่งคั่งที่อยู่ในรูปดอลล่าร์หรือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เมือนิกสันยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำในปี 1971 ดอลล่าร์กลายเป็นเงินกระดาษเปล่าๆ แต่ชาวโลกต้องยอมรับ เพราะว่าแสนยานุภาพของเพนตากอนหนุนหลังอยู่ไม่ให้ประเทศใดแตกแถว
แนวความคิดเรื่องความมั่งคั่งมีการเปลี่ยนตามยุคสมัย จากที่เคยเป็นทองคำ Silverในยุคพานิชย์นิยมมาเป็นการผลิตและการค้าในยุคทฤษฎีเศรษฐศาสตร์คลาสสิคของอาดัม สมิธ ตอนนี้ความมั่งคั่งกลายเป็นดอลล่าร์ที่เป็นมาเป็นหนี้ล้วนๆ เมื่อสร้างความมั่งคั่งผ่านการสร้างหนี้ดอลล่าร์กระดาษได้ สหรัฐจึงหันเหออกจากการผลิต และไปเน้นเรื่องการเงินแทน Financialization )เริ่มสมัยบิล คลินตัน ในยุค1990s โรงงานและระบบการผลิตสหรัฐย้ายฐานไปต่างประเทศ เพื่อผลิตและส่งสินค้ากลับมาขายในตลาดสหรัฐ ทำให้ปัญหาการขาดดุลเริ่มรุนแรงขึ้น ในขณะที่เยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน อาเซี่ยน ไทยหรือประเทศส่งออกทั้งหลายที่ได้อานิสงค์จากการย้ายฐานผลิตของสหรัฐมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจผ่านดีมานด์รวมของสหรัฐที่พิมพ์เงินกระดาษออกมาไม่อั้นเพื่อการบริโภคที่ไม่อั้น สหรัฐกลายเป็นศูนย์กลางความมั่งคั่งของโลกผ่านตลาดการเงินและตลาดทุน โดยตั้งอยู่บนฐานของดอลล่าร์กระดาษที่ในแง่สารัตถะแล้วหามีค่าไม่ และไม่มีฐานการผลิตหรือระบบซับไพลเชนรองรับ
อย่างที่เราทราบกันดี ไม่มีระบบใดที่มนุษย์สร้างขึ้นมามีความยั่งยืน อเมริกาเข้าสู่ยุคขาลง จากการบรโภคเกินตัว การขาดดุลการค้าที่เรื้อรังและการก่อหนี้การคลังที่ท่วมท้น ทำให้ประเทศต่างๆ นำโดยจีนต้องการผละออกจากระบบดอลล่าร์กระดาษที่ต่อไปจะเกิดเงินเฟ้อแบบhyperinflation เพราะไม่มีปัญญาจ่ายหนี้ ต้องออกบอนด์หรือเพิ่มปริมาณเงินเข้าระบบเพื่อจ่ายหนี้อย่างเดียว ค่าเงินดอลล่าร์จะเสื่อม ต้นปี2025มาถึงนี้ ดอลล่าร์อินเด็กซ์อ่อนค่าไปแล้ว11% การส่งออกเพื่อสะสมดอลล่าร์กำลังกลายเป็นเรื่องตกยุค เพราะยิ่งมีดอลล่าร์มาก ยิ่งจะจนมากจากค่าเงินดอลล่าร์ที่เสื่อม ทำให้เราเริ่มเห็นว่าความมั่งคั่งกำลังย้อนกลับไปยุคพานิชย์นิยม คือทองคำหรือsilverจะเป็นการรักษาความมั่งคั่งที่แท้จริง ไม่ใช่ดอลล่าร์กระดาษอีกต่อไป ราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2022 โดยเฉพาะ นำโดยการซื้อของธนาคารกลางต่างๆที่ทิ้งดอลล่าร์และ
หันมาตุนทองคำแทนเป็นตัวชีวัดอย่างดี อย่างน้อยไม่ถูกสหรัฐชักดาบหากถือครองทองคำแทน
สรุปแล้วโลกกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่าน สหรัฐไม่สามารถก่อหนี้เพื่อการบริโภคและการขาดดุลได้เหมือนในอดีต เพราะหนี้สหรัฐสูงเกินไปทำให้ความเชื่อมั่นในการถือครองดอลล่าร์ในฐานะความมั่งคั่งลดถอยลงไปด้วย ทรัมป์จึงก่อสงครามภาษีเพื่อย้อนยุคกลับไปหาลัทธิพานิชย์นิยมเพื่อฟื้นฟูการผลิตภายใน และกีดกันการส่งออก โดยโชว์ฟอร์มเบ่งกล้ามว่าสหรัฐยังคงยิ่งใหญ่ ทั้งๆที่กำลังถังแตก แต่จีน รัสเซียและกลุ่มBRICSกำลังรวมตัวกันเพื่อท้าทายMad Man Theoryของทรัมป์ ที่ใช้กำแพงภาษีเพื่อกดดันให้ประเทศต่างๆให้อยู่ในระบบดอลล่าร์ต่อไป และเพื่อสกัดจีนและBRICSไม่ให้ผงาดขึ้นมาแทนด้วยระบบพหุนิยมที่วินวินกันทุกฝ่าย
เมื่อสถานการณ์ชี้ชัดออกมาเช่นนี้ โดยที่ไทยโดนภาษีทรัมป์36% ทำให้แทบไม่ต้องคิดอีกต่อไปว่าการอยู่ในระบบดอลล่าร์แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆจะทำให้ไทยเสียเปรียบและสูญเสียความมั่งคั่งลงไปเรื่อยๆ เจรจายังไงทรัมป์ก็จะไม่พอใจในข้อเสนอของไทย ทรัมป์จะบีบไข่เราไปจนกว่าเราจะหันหลังให้จีน แต่อนาคตของไทยต่อไปควรจะผูกกับจีนในฐานะผู้นำเศรษฐกิจโลกรายใหม่ รวมทั้ง BRICS Global South เพราะว่ามันจะเป็นทางรอดที่แท้จริงของไทย
By Thanong Khanthong
8/7/2025