จีนถือไพ่เหนือกว่าสหรัฐในสงครามภาษี

จีนถือไพ่เหนือกว่าสหรัฐในสงครามภาษี
12-4-2025
หลังจากที่สี จิ้นผิงแลกหมัดกับโดนัลด์ ทรัมป์ด้วยการขึ้นภาษีไปจนถึง125% เพื่อตอบโต้ภาษีที่บ้าเลือดของทรัมป์ที่145% ต่างฝ่ายต่างหยุดนิ่งเพื่อดูท่าทีของอีกฝ่าย สีพูดชัดเจนเมื่อวันศุกร์ว่า จีนไม่ได้รู้สึกหวั่นเกรงอะไรกับสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยกล่าวว่าจีนไม่กลัว “การกดขี่ที่ไม่สมเหตุสมผล” และจะยังคงมุ่งมั่นในเส้นทางของตนเอง ไม่ว่าสภาพแวดล้อมภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ส่วนทรัมป์พยายามส่งสัญญานว่าทุกอย่างกำลังไปได้อย่างสวยงาม
ทรัมป์พูดด้วยความมั่นใจ หรือว่าปากกล้าใจสั่นกันแน่?
ความจริง ทรัมป์ยอมถอยแล้วจากการที่ยอมลดอัตราภาษีลงเหลือ10%สำหรับประเทศส่วนมาก และให้เวลา90วันสำหรับการเจรจาต่อรองการค้ากัน แต่ความไม่แน่นอนยังคงปกคลุมการค้าโลกเหมือนก้อนเมฆที่ดำทมึน เพราะว่าทรัมป์ยังคงเก็บภาษี25%สำหรับแคนาดา และเม็กซิโก และเก็บภาษี25%สำหรับรถยนต์นำเข้า และ25%สำหรับเหล็กและอลูมิเนียม
ส่วนกำแพงภาษีสำหรับจีนยังคงเดิม ต้องคอยดูว่าทรัมป์จะริเริ่มพูดคุยกับจีนอย่างไรต่อไปในการยกเลิกภาษี145%ที่ปรับขึ้นมาเพราะหน้ามืดต้องการเกทับจีน โดยอาจจะหลงคิดว่ามีอำนาจการต่อรองมากกว่าจีน ที่ปรึกษาทรัมป์อาจจะให้ข้อมูลทรัมป์ผิดว่า เศรษฐกิจจีนมีความเปราะบางอยู่ในเวลานี้ หากจีนไม่สามารถส่งออกไปตลาดอเมริกาได้ เศรษฐกิจจีนจะพัง และจะทำให้สีอยู่ในอำนาจต่อไปไม่ได้ ความจริง แม้จะไม่มีตลาดอเมริกา จีนยังคงอยู่ได้ เพราะว่าได้กระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการส่งออกไปยังตลาดอื่นมากแล้ว
ไม่มีทางที่สี จิ้นผิงจะโทรมาง้อก่อนอยู่แล้ว จีนส่งสัญญานแล้วว่าอัตราภาษี125%นี้ถือว่าสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นได้แล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะปรับขึ้นอีกต่อไป เพราะว่าอัตรานี้ทำให้การค้าระหว่างทั้งสองประเทศหยุดชงักไปแล้ว
สาเหตุที่ทรัมป์ยอมถอยเรื่องภาษี เพราะว่าเกิดวิกฤตที่รุนแรงในตลาดบอนด์ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีปิดในช่วงสุดสัปดาห์ที่ 4.5% โดยมีการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติการณ์ การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 59 เบสิสพอยต์ในเวลาเพียงไม่กี่วันทำให้เกิดการปรับราคาครั้งใหญ่ในหลายตลาด และเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมในทุกด้าน ตัวเลขนี้ฟังดูอาจไม่มาก แต่พันธบัตรสหรัฐฯ เป็นรากฐานของเศรษฐกิจโลก และทุกอย่างตั้งแต่อัตราดอกเบี้ยจำนองไปจนถึงพันธบัตรองค์กรและจังค์บอนด์ถูกกำหนดราคาจากเกณฑ์มาตรฐานนี้
นี่คือความโกลาหลในความหมายที่แท้จริง เมื่อความกลัวพุ่งสูงในตลาดการเงินทั่วโลก อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ควรจะลดลง เมื่อทุกคนกลัว พวกเขาจะมองว่าพันธบัตรสหรัฐฯ และเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างมากในสัปดาห์นี้ เกิดมีการเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐออกมา ทำให้ตลาดมีความผันผวนสูงมาก โดยน่าจะมีจีนผสมโรงด้วยขายออกไป$50,000ล้าน มีผลทำให้เฮดจ์ฟันด์4-5เจ้าที่มีพอร์ตการลงทุนในการเก็งกำไรbasis tradeกว่า$1ล้านล้านรวมกันเกิดการขาดทุน และถูกแบงค์ที่ปล่อยมาร์จิ้นให้เทรดให้ต้องปิดโพซีชั่น ทำให้ตลาดบอนด์วิกฤตอย่างรุนแรง
นอกจากนี้ ดอลล่าร์ก็โดนเทขาย ทำให้ดัชนีดอลล่าร์ลงต่ำกว่า100 ส่วนราคาทองคำทำสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ โดยพุ่งเกินระดับ$3,200ต่อออนซ์ ราคาทองพุ่งเกือบรายวันส่วนทางกับการอ่อนค่าของดอลล่าร์ เวลานี้ ทองคำกลายเป็นดัชนีวัดความกระวนกระวายใจของนักลงทุนในตลาดไปโดยอัตโนมัติ
ในขณะเดียวกัน ธนาคารอย่างGoldman Sachs หรือJP Morgan Chaseแสดงความกังวลใจว่าเศรษฐกิจของสหรัฐจะเผชิญกับเงินเฟ้อจากกำแพงภาษี และในขณะเดียวกันการเติบโตทางเศรษฐกิจจะถดถอย ทำให้ทรัมป์ตัดสินใจยอมถอยเรื่องภาษีที่เดิมทีบอกว่าจะไม่มีการประนีประนอม จนกว่าจะมีการเจรจากับประเทศคู่ค้ารายตัวเสร็จ
เศรษฐกิจที่ถูกการเงิน (Financialization)ครอบงำของสหรัฐ รวมท้ังการก่อหนี้ที่ไม่มีวันสิ้นสุดทำให้อำนาจการต่อรองกับจีนมีไม่มาก ในขณะที่จีนมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งกว่ามาก ทั้งงบดุลของประเทศ และระบบอุตสาหกรรม ระบบซับไพลเชน ตลาดภายใน เทคโนโลยี และความสามารถในการแข่งขัน
สี จิ้นผิงมีDeepSeek และเอไอระบบต่างๆช่วยคิดคำนวนว่า หากไม่ต้องส่งสินค้าไปยังสหรัฐแล้ว เศรษฐกิจจีนจะยืนหยัดอยู่ได้ไหม แน่นอนต้องได้รับผลกระทบ แต่จีนไม่ได้พึ่งพาตลาดสหรัฐมากถึงขนาดที่จะทำให้เศรษฐกิจพัง เพราะว่ามีการกระจายความเสี่ยงไปมากแล้ว และมีการปรับโมเดลเศรษฐกิจให้มีความสมดุลมากขึ้นระหว่างการบริโภคภายในกับการส่งออก ด้วยเหตุนี้ สีจึงไม่ได้แสดงอาการที่สะทกสะท้านอะไร เพราะว่ามีการเตรียมความพร้อมที่จะรับมือมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศ และภูมิภาคอื่นๆ และการสร้างระบบชำระเงินของหยวนที่เป็นเอกเทศจากระบบSWIFTที่สหรัฐควบคุมอยู่
ที่สำคัญ เงินหยวนเป็นที่ยอมรับของประเทศต่างๆมากขึ้น ทำให้จีนไม่จำเป็นต้องสำรองดอลล่าร์ในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากมายเหมือนในอดีตเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเงินหยวน ประเทศใหนๆในโลกพร้อมที่จะรับเงินหยวนท้ังนั้น เพราะว่าเห็นความเสี่ยงจากการถือครองดอลล่าร์ ยิ่งผู้ใดมีดอลล่าร์ในการครอบครองมากเช่นซาอุดิ อาราเบีย หรือเกาหลีใต้ ก็ยิ่งจะถูกทรัมป์ขู่จะยึด หรือเบี้ยวหนี้
สงครามการค้ากับสหรัฐยิ่งตอกย้ำแนวความคิดที่มีมาหลายปีแล้วของจีนว่าจะพึ่งพาภาคการส่งออกเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตลอดไปไม่ได้ เพราะว่านอกจากจะเจอสงครามการค้าแล้ว ยังทำให้การพัฒนามาตรฐานการดำรงชีพคนจีนโดยรวมของคนจีนช้าลง การพึ่งพาการส่งออกทำให้รัฐบาลจีนต้องกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนให้ค่อนไปในทิศทางที่อ่อนค่าเพื่อสนับสนุนความสามารถในการแข่งขัน ค่าแรงก็จะขึ้นเร็วไม่ได้ เพราะว่าจะกระทบกับต้นทุนผู้ส่งออก ในขณะเดียวกันจะมีแรงกดดันของเงินเฟ้อจากการทำให้ค่าเงินอ่อน ส่วนสหรัฐที่ซื้อสินค้าจีนได้ประโยชน์จากการบริโภคสินค้าในราคาต่ำ ทำให้ช่วยลดแรงกดดันเงินเฟ้อภายในจากการดำเนินนโยบายขาดดุล
มาถึงจุดนี้แล้ว ทรัมป์ต้องเอาตีนก่ายหน้าผากว่า ผิดพลาดไปแล้ว ที่ออกตัวแรงเกินไปในการก่อสงครามภาษีกับจีน ไม่คิดว่าจีนจะกล้าตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน และคิดผิดที่มองว่าหากจีนเจอกำแพงภาษีสูงจะทำให้ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจหรือตลาดการเงินของจีนหดหายไปจนทำให้เกิดวิกฤติกับจีน ปรากฎว่ายังไม่ได้เห็นสัญญานของวิกฤตใดๆในเศรษฐกิจ หรือตลาดการเงินของจีน แต่เราได้เห็นวิกฤติในตลาดบอนด์ ตลาดหุ้น เศรษฐกิจที่กำลังถดถอย เงินดอลล่าร์ที่ร่วงแรง และราคาทองคำที่พุ่งสวนทิศทางของดอลล่าร์ ทำให้นักลงทุนทั่วไปในเวลานี้มีความมั่นใจในการถือครองทองคำมากกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
ถ้าจะมีการเจรจาประนีประนอมกันระหว่างทรัมป์กับสีก่อนที่เศรษฐกิจสหรัฐ หรือเศรษฐกิจโลกจะพังไปกว่านี้ ทรัมป์ต้องเป็นฝ่ายง้อก่อน เพราะไม่มีทางที่สีจะเป็นคนริเริ่ม คนอย่างทรัมป์ที่มั่นใจในตัวเองสูง คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลจะยอมลดตัวเองเพื่อขอเปิดเจรจากับสีก่อนหรือไม่จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนกำลังจับตามองดูอยู่ในเวลานี้ แรงกดดันของวิกฤติตลาดการเงินของสหรัฐ ที่เป็นความมั่งคั่งของคนอเมริกันจะทำให้ทรัมป์ต้องยอมกลืนน้ำลายตัวเองเพื่อขอเปิดเจรจากับสีที่ตอนนี้กำลังดีดพิณคอยท่าอยู่อย่างสบายอารมณ์
By Thanong Khanthong
12/4/2025