สหรัฐเดินเกมแผนป่าล้อมเมืองเพื่อทำลายส่งออกจีน

สหรัฐเดินเกมแผนป่าล้อมเมืองเพื่อทำลายส่งออกจีน
สก็อตต์ เบสเซนต์ รมว คลังของสหรัฐเปิดเผยแผนป่าล้อมเมืองเพื่อทำลายอุตสาหกรรมส่งออก และเศรษฐกิจของจีน เขาให้สัมภาษณ์เมื่อไม่กี่วันมานี้ว่า สหรัฐจะเจรจากับประเทศพันธมิตรอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม อินเดีย และแม้กระทั้งสหภาพยุโรป รวมท้ังประเทศอื่นๆเพื่อสร้างแนวร่วมในการปิดล้อมจีนทางการค้า เพราะว่าจีนมีการใช้นโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรม รัฐบาลจีนให้เงินอุดหนุนภาคการส่งออก เพื่อเอาเปรียบเศรษฐกิจของประเทศอื่น ทำให้ได้เปรียบการเกินดุลการค้าในระดับที่สูง เบสเซนต์ชี้แจงว่า ถ้าหากทุกประเทศร่วมมือกับสหรัฐด้วยการหันหลังให้กับเศรษฐกิจจีน จีนจะถูกบีบให้ปรับโครงสร้างโมเดลของเศรษฐกิจ ด้วยการพึ่งพาการบริโภคภายใน แทนที่จะหารายได้จากการส่งออก ส่วนสหรัฐจะสามารถกลับมาฟื้นฟูภาคการผลิตภายในประเทศ
จะเห็นได้ชัดเจนว่า นโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์ได้รับการเตรียมการวางแผนมาอย่างดีเพื่อล้มจีนให้ได้ มิเช่นนั้นจีนจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลกทางเศรษฐกิจแซงหน้าสหรัฐ แม้ว่าทรัมป์จะประกาศภาษีกับประเทศทั้งโลกในอัตรา10% และระหว่าง11%-50%สำหรับประเทศที่ได้เกินดุลการค้าสหรัฐ แต่งานนี้ทรัมป์พุ่งเป้าไปที่จีนโดยเฉพาะ เพราะว่ามีการเก็บภาษีจีน54% ทำให้จีนตอบโต้ด้วยอัตรา34% เมื่อทรัมป์เกทับด้วยอัตรา104% จีนไม่ถอย ลากกำแพงภาษีขึ้นไปถึง84% ทรัมป์ไม่หยุดเท่านั้น แต่เพิ่มภาษีกับจีนขึ้นไปอีกเป็น125% ซึ่งเมื่อรวมกับอัตราเก่า20% ทำให้กำแพงภาษีที่ทรัมป์เล่นงานจีนในเวลานี้อยู่ที่ 145%
ด้วยกำแพงภาษีบ้าเลือดในระดับนี้ การค้าระหว่างสหรัฐกับจีนกำลังสะดุดลง จนแทบจะจอดแน่นิ่ง
สี จิ้นผิงรู้ดีว่าทรัมป์เป็นเสือลำบากที่กำลังลุกขึ้นมาฮึดสู้เฮือกสุดท้าย จึงเตรียมตัวรับมืออย่างเต็มที่ สีตอบโต้ทรัมป์ด้วยกำแพงภาษีที่ปิดฉากการส่งออกสินค้าสหรัฐเข้าตลาดจีนเหมือนกัน
แต่ตลาดบอนด์ไม่เป็นใจกับทรัมป์ในเวลานี้ ตลาดบอนด์สหรัฐส่ออาการไม่ดี เพราะถูกเทขายอย่างรุนแรงทำให้บอนด์ยิลด์พุ่งสูงผิดปกติ ในขณะที่ทรัมป์ต้องการให้ดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ต่ำจะได้ช่วยในการฟื้นเศรษฐกิจ ปรากฎว่าเฮดจ์ฟันด์ยักษ์ใหญ่4-5รายที่เก็งกำไรสเปรดแคบๆระหว่างบอนด์รัฐบาลกับฟิวเจอร์สคอนแทรคด้วยปริมาณกว่า$1ล้านล้านมีการขาดทุน เพราะราคาบอนด์ตกอย่างรุนแรง ทำให้ถูกเรียกมาร์จิ้น และจำต้องโล๊ะทิ้งโพซิชั่น ซึ่งยิ่งทำให้ตลาดบอนด์ปั่นป่วนหนักขึ้นไปอีก เมื่อเห็นสัญญานไม่ดีในตลาดบอนด์ และคำเตือนของจามี ไดมอน ซีอีโอของธนาคารเจพี มอร์แกน เชสว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจะเข้าสู่ภาวะถดถอยจากสงครามภาษี ทำให้ทรัมป์รีบเปลี่ยนใจวันพุธที่ผ่านมา ด้วยคำประกาศที่เปิดทางให้มีการเจรจาการค้า90วัน
นี่คืออัตราภาษีที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน:
--ภาษี 145% สำหรับสินค้าทั้งหมดจากจีน
--ภาษี 25% สำหรับอะลูมิเนียม รถยนต์ และสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกที่ไม่อยู่ภายใต้ข้อตกลงสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา
--ภาษี 10% สำหรับการนำเข้าอื่นๆ ทั้งหมด
ทรัมป์คุยโม้ว่ามี 75ประเทศที่ติดต่อเข้ามาขอเจรจาผ่อนปรนกำแพงภาษี และต้องการ kiss assเขา คล้ายกับว่าทำเนียบขาวเป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยถือว่าสหรัฐเป็นประเทศนำเข้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใครๆก็ต้องการค้าขายด้วย ขาดตลาดสหรัฐ หรือขาดดอลล่าร์สหรัฐ เศรษฐกิจของประเทศอื่นจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
จะเห็นได้ว่า นโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์เอาเข้าจริงแล้วออกแบบมาเพื่อเล่นงานจีนที่เป็นเป้าเดียวโดยเฉพาะ ระหว่างนี้กับ90วันข้างหน้า ทรัมป์และทีมงานจะเจรจากับผู้นำหรือตัวแทนของประเทศคู่ค้าเพื่อผ่อนปรนกำแพงภาษี แลกกับนโยบายต่างประเทศและนโยบายความมั่นคงที่ต้องดำเนินไปในทิศทางที่สอดคล้องกับความต้องการของทรัมป์คือการปิดล้อมจีนทางการค้า ซึ่งจะหมายถึงความมั่นคง&ทางทหารไปด้วย พันธมิตรที่สหรัฐหมายมั่นจะร่วมมือกับทรัมป์ในการตั้งกำแพงแพงยักษ์ขวางกั้นจีนคือประเทศที่ต้ังอยู่รายล้อมจีน ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน เวียดนาม อินเดีย รวมทั้งสหภาพยุโรปอีกด้วย แม้ว่าจะอยู่คนละทวีปแต่ก็จะมีบทบาทสำคัญในการปิดล้อมจีน อันเห็นได้จากจากเลขาธิการของนาโต้ ซึ่งเป็นองค์กรความร่วมมือทางทหาร นายMark Rutt ได้เดินทางมาเยือนญี่ปุ่นเมื่อไม่กี่วันมานี้ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างนาโต้กับญี่ปุ่น และประเทศในภูมิภาคนี้ในวาระต่อไป
แผนการปิดล้อมจีนทางการค้าของทรัมป์จะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิคของสหรัฐ ที่ทรัมป์เป็นผู้ริเริ่มในสมัยทรัมป์1.0 เพื่อปิดล้อมจีนทางทหาร โดยมีอินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ไทย สิงคโปร์ ออสเตรเลียเข้าร่วม ถือว่าเป็นความผิดพลาดเชิงนโยบายที่รุนแรงของไทยที่เข้าร่วมยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิคสมัยพลเอกประยุทธ์ จันโอชา ซึ่งความจริงไทยควรที่จะถอนตัวออกมา เพราะว่าข้อตกลงไม่ได้ผ่านการเห็นชอบของสภาไทย
ทรัมป์ทำลายโลกาภิวัตณ์ และระบบการการค้าเสรีของโลก เพื่อที่จะเซฟสหรัฐจากความตกต่ำ โดยอ้างว่าจีนเป็นต้นเหตุจากการใช้ระบบการค้าที่ไม่เป็นธรรม ทั้งๆสหรัฐเป็นผู้สร้างระบบเศรษบกิจสมัยใหม่ให้กับจีน เพื่อใช้จีนเป็นฐานให้บริษัทอเมริกันลงทุนต้ังโรงงานเพื่อผลิตสินค้าส่งกลับมาขายที่ตลาดสหรัฐเอง ทำให้บริษัทอเมริกันได้กำไรมหาศาลหลายล้านล้านเหรียญตลาดระยะเวลา45ปีที่ผ่านมาหลังจากจีนได้เปิดประเทศ ตลาดหุ้นของสหรัฐที่บูมก็มาจากการที่บริษัทอเมริกัน และผู้ถือหุ้นได้ประโยชน์ในการค้าขายระหว่าง และลงทุนระบบการผลิตที่ต่างประเทศ แต่ผลเสียกลับตกไปที่คนอเมริกันกับระบบเศรษฐกิจของสหรัฐที่แทบที่จะไม่มีภาคการผลิต สหรัฐมีการขาดดุลการค้ามโหฬารจนไปต่อไม่ได้ และมีความเสี่ยงที่ดอลล่าร์จะสูญเสียการเป็นเงินสกุลหลักของโลก ส่วนคนอเมริกันต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ และไม่ได้ประโยชน์อะไรการการเอาท์ซอสการผลิตไปยังต่างประเทศ โลกาภิวัตณ์ และการค้าเสรีที่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ
เบสเซนต์ยอมรับว่าตลอดระยะเวลา40กว่าปีที่ผ่านมา Wall Street หรือธุรกิจภาคการเงินได้ประโยชน์อย่างมากจากนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐ แต่ต่อไปรัฐบาลทรัมป์จะกลับมาให้ความสนใจกับ Main Street หรือเศรษฐกิจที่ให้ความสำคัญกับชนชั้นกลาง หรือชนชั้นใช้แรงงาน
แต่การปิดล้อมจีนทางการค้า และทางทหาร โดยพยายามดึงเอาพันธมิตรทั้งโลกมาเป็นพวกเพื่อทำลายเศรษฐกิจจีนให้ย่อยยับจะประสบความสำเร็จหรือไม่ หรือจะมีผลบูมเมอแรงย้อนกลับมากระทบสหรัฐเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จะเห็นได้ว่า หลังจากที่รัสเซียบุกยูเครน รัสเซียถูกยึดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปกว่า$300,000ล้าน ถูกสหรัฐและยุโรปแซงชั่น ถูกตัดขาดออกจากระบบธนาคาร ถูกกีดกันออกจากตลาดเงินตลาดทุนโลก และการค้าโลก แต่รัสเซียกลับสามารถยืนหยัดได้ และมีความแข็งแกร่งกว่ายุโรปเสียอีกในเวลานี้ จีนมีปัจจัยพื้นฐานที่เข้มแข็ง มีระบบซับไพลเชนและภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่แข็งแกร่ง มีความสามารถในการพึ่งพาตัวเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเทคโนโลยี และที่สำคัญได้กระจายความเสี่ยงออกไปจากการพึ่งพาตลาดส่งออกไปสหรัฐแล้ว
ในขณะที่สหรัฐและจีนมีการค้าระหว่างกันที่หยุดชงัก ก็ต้องจับตาดูว่าทรัมป์จะสามารถดึงประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคและยุโรปให้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับสหรัฐในการคว่ำบาตรจีน เพื่อทำลายเศรษฐกิจจีนได้มากน้อยเพียงใด สไตล์การเจรจาต่อรองทรัมป์จะมีท้ังแจกขนมกับไม้เรียว ประเทศใดคล้อยตามทรัมป์จะได้ขนมไปกิน พร้อมหลักประกันความมั่นคง ประเทศใดที่ไม่เอาด้วยกับทรัมป์จะโดนไม้เรียว คือการแซงชั่น และการแทรกแซงทางการเมืองหรืออาจจะไปไกลถึงขนาดโดนปฏิวัติสีก็ได้
ส่วนสี จิ้นผิงก็ต้องเดินเกมคล้ายกันเพื่อหว่านล้อมประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในภูมิภาคนี้ให้ร่วมมือกับจีน จับมือกันให้แน่น เพราะว่าถ้าแตกแยกกันก็ง่ายที่จะถูกทรัมป์ครอบงำตามยุทธวิธีแบ่งแยกและปกครอง การเดินทางเยือนเวียดนาม ลาวและกัมพูชาของสี จิ้นผิงระหว่างวันที่ 14-18เมษายนนี้จึงเป็นปฐมบทของแผนตั้งรับของจีนที่น่าจับตาดูเป็นอย่างยิ่งว่าจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด ส่วนไทยต้องมีแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนว่าต่อไปจะวางตัวอย่างไรท่ามกลางความขัดแย้งของมหาอำนาจสหรัฐและมหาอำนาจจีนที่มาถึงจุดที่ต้องเลือกข้าง จะวางตัวเป็นกลางต่อไปไม่ได้ เพราะว่าท้ังสหรัฐและจีนจะยื่นข้อเสนอที่แต่ละประเทศจะปฏิเสธไม่ได้ ถ้าไทยมองเกมทะลุปรุโปร่ง ก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะตีกรรเชียงออกจากอิทธิพลของวอชิงตันที่ครอบงำไทยมาตั้งแต่หลังสงครามโลกคร้ังที่สอง เพื่อว่าไทยจะได้มีอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง และเตรียมรับมือกับภัยของสงครามการค้า และสงครามที่อาจต้องรบพุ่งกันในภูมิภาคนี้
By Thanong Khanthong
11/4/2025