มาครง'เยือนกรีนแลนด์

มาครง'เยือนกรีนแลนด์ ฝรั่งเศส-EU เคลื่อนไหวป้องดินแดนอาร์กติก หลังทรัมป์ขู่ยึดครอง
16-6-2025
มีรายงานจากสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า การเดินทางเยือนกรีนแลนด์ของเขามีจุดประสงค์เพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของฝรั่งเศสและสหภาพยุโรปต่อเกาะอาร์กติกแห่งนี้ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกาขู่ว่าจะเข้ายึดครอง
เมื่อถูกสื่อสอบถามเกี่ยวกับภัยคุกคามดังกล่าวขณะเดินทางมาถึงกรีนแลนด์ มาครงกล่าวว่า "ผมไม่คิดว่านั่นคือสิ่งที่พันธมิตรควรทำ... สิ่งสำคัญคือเดนมาร์กและยุโรปต้องยึดมั่นในดินแดนแห่งนี้ ซึ่งมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์สูงมาก และบูรณภาพแห่งดินแดนจะต้องได้รับการเคารพ"
กรีนแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของเดนมาร์กที่มีการปกครองตนเองและมีสิทธิในการประกาศเอกราช ทั้งรัฐบาลกรีนแลนด์และเดนมาร์กต่างยืนยันว่ากรีนแลนด์ไม่ได้มีไว้สำหรับการซื้อขาย และมีเพียงชาวกรีนแลนด์เท่านั้นที่สามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้
ทรัมป์ได้แสดงความต้องการให้สหรัฐอเมริกาเข้าควบคุมเกาะอาร์กติกที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์แห่งนี้ โดยไม่ได้ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะใช้กำลังทหาร รองประธานาธิบดีเจ.ดี. แวนซ์ ได้เดินทางไปเยือนฐานทัพสหรัฐฯ ในกรีนแลนด์เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
มาครงนับเป็นผู้นำต่างประเทศคนแรกที่เยือนกรีนแลนด์หลังจากที่ทรัมป์ขู่อย่างชัดเจนว่าจะ "เอา" เกาะแห่งนี้ โดยได้รับคำเชิญจากนายกรัฐมนตรีของกรีนแลนด์และเดนมาร์ก มาครงเคยกล่าวว่าการเยือนครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการฉกฉวยประโยชน์จากดินแดนนี้
"ฝรั่งเศสยืนหยัดเคียงข้างเราตั้งแต่มีการออกแถลงการณ์ครั้งแรกเกี่ยวกับการยึดครองดินแดนของเรา การสนับสนุนนี้มีความจำเป็นและน่าปลื้มใจ" นายเยนส์-เฟรเดอริก นีลเซน นายกรัฐมนตรีกรีนแลนด์ เขียนบนเฟซบุ๊กก่อนการเยือนของมาครงเพียงไม่กี่วัน
เมื่อถูกถามว่าเขากังวลหรือไม่ว่าการเยือนของมาครงจะทำให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่พอใจ นีลเซนให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เดนมาร์ก DR เมื่อวันอาทิตย์ว่า "ผมไม่กังวลว่าเขา (ทรัมป์) จะโกรธมาก การเยือนครั้งนี้ควรถูกมองว่าเป็นความต้องการของเราที่จะสร้างการพัฒนาเพิ่มเติมในกรีนแลนด์"
เมื่อมีคำถามว่ามาครงจะส่งข้อความที่ชัดเจนถึงสหรัฐอเมริการะหว่างการเยือนหรือไม่ ที่ปรึกษาประธานาธิบดีฝรั่งเศสกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า "การเดินทางครั้งนี้เป็นสัญญาณในตัวมันเอง" โดยไม่ได้เอ่ยถึงทรัมป์ ด้านนายฌอง-โนเอล บาร์โรต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศส กล่าวกับสถานีวิทยุ RTL เมื่อวันอาทิตย์ว่า "กรีนแลนด์เป็นดินแดนของยุโรป และเป็นเรื่องปกติที่ยุโรป โดยเฉพาะฝรั่งเศส จะแสดงความสนใจ"
ตามผลสำรวจของ IFOP สำหรับ NYC.eu ที่เผยแพร่เมื่อวันเสาร์ ชาวฝรั่งเศส 77% และชาวอเมริกัน 56% ไม่เห็นด้วยกับการผนวกกรีนแลนด์โดยสหรัฐฯ และชาวฝรั่งเศส 43% สนับสนุนการใช้กำลังทหารของฝรั่งเศสเพื่อป้องกันการรุกรานของสหรัฐฯ
ในระหว่างการเยือน มาครงจะไปยังเมืองหลวงนุก รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่ได้รับทุนจากสหภาพยุโรปและธารน้ำแข็ง และหารือเกี่ยวกับความมั่นคงของอาร์กติกและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับผู้นำท้องถิ่น
แม้ว่าเดนมาร์กจะเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป แต่กรีนแลนด์อยู่นอกกลุ่ม ที่ปรึกษาฝรั่งเศสกล่าวว่าการเยือนครั้งนี้จะเป็นโอกาสในการหารือถึงวิธีการสร้าง "มิติใหม่" ให้กับความร่วมมือระหว่างกรีนแลนด์กับสหภาพยุโรป
นายกรัฐมนตรีเมตเตอ เฟรเดอริกเซน ของเดนมาร์กได้เดินทางเยือนกรุงปารีสหลายครั้งหลังจากที่ทรัมป์ขู่ เพื่อขอการสนับสนุนจากฝรั่งเศสและยุโรป และได้สั่งซื้อขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานที่ผลิตในฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนทิศทางนโยบายของโคเปนเฮเกน
การขอความร่วมมือจากประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์เพียงประเทศเดียวในสหภาพยุโรปเป็นวิธีที่เดนมาร์ก ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ภักดีที่สุดในยุโรปของวอชิงตันมาอย่างยาวนาน ใช้เพื่อแสดงให้เห็นถึงการมีอำนาจแข็งต่อสหรัฐฯ ที่กำลังแสดงท่าทีก้าวร้าวมากขึ้นอย่างฉับพลัน นายฟลอเรียน วิดัล จากสถาบันวิจัย IFRI ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงปารีสกล่าว
"ท่าทีที่ก้าวร้าวมากขึ้นของรัฐบาลทรัมป์ถือเป็นการสร้างความตกใจที่ทำให้วิสัยทัศน์ของฝรั่งเศสที่มีต่อยุโรป ซึ่งเป็นอิสระมากขึ้น ดูสมเหตุสมผลมากขึ้นสำหรับเดนมาร์ก" เขากล่าว "จากมุมมองของกลุ่มประเทศนอร์ดิก ฝรั่งเศสเป็นอำนาจทางทหารที่สำคัญ"
"ผมคิดว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ จริงจังกับเรื่องนี้ เราอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมการที่ประธานาธิบดีฝรั่งเศสมาเยือนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยเน้นย้ำถึงความสามัคคีที่จำเป็นของยุโรปในสถานการณ์เช่นนี้" นางเฟรเดอริกเซนกล่าวกับสถานีโทรทัศน์ DR เมื่อวันอาทิตย์
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.reuters.com/world/europe/macron-visits-greenland-signal-european-resolve-after-trump-annexation-threats-2025-06-14/