อิสราเอลกำลังร้องขอให้สหรัฐเข้าร่วมโจมตีอิหร่าน

16-6-2025

    อิสราเอลร้องขอให้รัฐบาลทรัมป์เข้าร่วมสงครามกับอิหร่านในช่วง 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา เพื่อกำจัดโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ตามรายงานจากเจ้าหน้าที่อิสราเอลสองราย อิสราเอลไม่มีระเบิดทะลวงบังเกอร์ (bunker buster) และเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดใหญ่ที่จำเป็นต่อการทำลายสถานที่เสริมสมรรถนะยูเรเนียม “ฟอร์โดว์” (Fordow) ของอิหร่าน ซึ่งตั้งอยู่ภายในภูเขาและลึกลงไปใต้ดิน แต่สหรัฐฯ มีทั้งสองสิ่งและอยู่ในระยะที่สามารถบินถึงอิหร่านได้

    อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ รัฐบาลทรัมป์ได้พยายามเว้นระยะห่างจากปฏิบัติการของอิสราเอล และยืนยันว่า หากอิหร่านตอบโต้โดยการโจมตีเป้าหมายของสหรัฐฯ ก็ถือว่าไม่ชอบธรรม การโจมตีอิหร่านโดยตรง—หากสหรัฐฯ มีส่วนร่วมเพียงแค่การทิ้งระเบิดเป้าหมายเดียว—ก็จะดึงสหรัฐฯ เข้าสู่สงครามโดยตรง

    แต่ถ้าสถานีฟอร์โดว์ยังคงปฏิบัติการได้หลังจากปฏิบัติการของอิสราเอลสิ้นสุดลง เป้าหมายของอิสราเอลในการ "กำจัด" โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านก็จะล้มเหลว

    เจ้าหน้าที่อิสราเอลรายหนึ่งเปิดเผยกับ Axios ว่าสหรัฐฯ อาจเข้าร่วมปฏิบัติการ และว่าประธานาธิบดีทรัมป์เคยแสดงท่าทีว่าอาจเห็นด้วยหากจำเป็น ในการพูดคุยล่าสุดกับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู

    อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวคนหนึ่งได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานั้นเมื่อวันศุกร์ ขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อีกรายหนึ่งยืนยันในวันเสาร์ว่า อิสราเอลได้ร้องขอให้รัฐบาลทรัมป์เข้าร่วมสงครามจริง แต่ในขณะนี้ฝ่ายบริหารยังไม่ได้พิจารณาคำร้องดังกล่าว

    เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวให้สัมภาษณ์กับ Axios เมื่อวันเสาร์ว่า “สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในวันนี้ไม่สามารถหยุดยั้งได้” โดยหมายถึงการโจมตีของอิสราเอล

“แต่เรายังมีความสามารถในการเจรจาเพื่อหาทางออกอย่างสันติได้ หากอิหร่านยินดี ความรวดเร็วที่สุดที่อิหร่านจะบรรลุสันติภาพได้ ก็คือการยุติโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของตนเอง” เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวกล่าวเสริม

“ปฏิบัติการทั้งหมดนี้... จะต้องจบลงด้วยการกำจัด Fordow” ทูตอิสราเอลประจำสหรัฐฯ เยคีเอล ไลเตอร์ กล่าวกับ Fox News เมื่อวันศุกร์

   เจ้าหน้าที่อิสราเอลได้หยิบยกประเด็นการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ในการโจมตี Fordow กับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ มาตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการ

   แหล่งข่าวในอิสราเอลระบุว่า สหรัฐฯ กำลังพิจารณาคำขอนี้ และเน้นว่า อิสราเอลหวังว่าทรัมป์จะเห็นด้วย

ที่มา Axios