.

ปฎิกิริยาของผู้นำโลกต่อการโจมตีของอิสราเอลต่ออิหร่าน
14-6-2025
ในการตอบข้อซักถามของสื่อเกี่ยวกับการที่อิสราเอลเปิดฉากโจมตีเป้าหมายหลายแห่งภายในอิหร่านในช่วงเช้าวันวานนี้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน นายหลิน เจียน กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า จีนมีความกังวลอย่างยิ่งต่อการโจมตีของอิสราเอลต่ออิหร่าน และวิตกอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับผลกระทบร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นจากการกระทำเหล่านี้
จีนคัดค้านการละเมิดอธิปไตย ความมั่นคง และบูรณภาพแห่งดินแดนของอิหร่านในทุกรูปแบบ และคัดค้านการกระทำใด ๆ ที่จะนำไปสู่การยกระดับความตึงเครียดและขยายความขัดแย้ง นายหลินกล่าวว่า การยกระดับสถานการณ์ในภูมิภาคอย่างเฉียบพลันในครั้งนี้ ไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายใดเลย
จีนเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องดำเนินการมากขึ้นเพื่อส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค และหลีกเลี่ยงไม่ให้สถานการณ์ตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้น จีนพร้อมที่จะมีบทบาทเชิงสร้างสรรค์ในการช่วยลดความตึงเครียดในสถานการณ์นี้ นายหลินกล่าว
นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เซอร์เคียร์ สตาร์เมอร์ กล่าวว่ารายงานเกี่ยวกับการโจมตีเป็น “เรื่องที่น่ากังวล” และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง “ถอยห่างและลดความตึงเครียดโดยเร่งด่วน”
“เสถียรภาพในตะวันออกกลางต้องมาก่อน และเรากำลังประสานงานกับพันธมิตรเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ ขณะนี้คือเวลาที่ต้องใช้ความอดกลั้น ความสงบ และกลับคืนสู่แนวทางการทูต” เขากล่าวผ่านโพสต์ในแพลตฟอร์ม X
รัฐมนตรีต่างประเทศสหราชอาณาจักร เดวิด แลมมี ก็กล่าวเช่นกันว่าการยกระดับความขัดแยงเพิ่มเติมใด ๆ ถือเป็น “ภัยคุกคามร้ายแรงต่อสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายใดเลย”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการยุโรปและการต่างประเทศของฝรั่งเศส ฌ็อง-โนแอล บาโรต์ ก็แสดงท่าทีในลักษณะเดียวกันเมื่อวันศุกร์ โดยเรียกร้องให้ “ทุกฝ่ายใช้ความอดกลั้น และหลีกเลี่ยงการยกระดับสถานการณ์ที่จะบั่นทอนเสถียรภาพของภูมิภาค”
ในโพสต์บนโซเชียลมีเดีย บาโรต์ยังกล่าวว่าฝรั่งเศสเคยแสดงความกังวลเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านมาก่อนแล้ว
“เรายืนยันสิทธิของอิสราเอลในการปกป้องตนเองจากการโจมตีใด ๆ” เขากล่าวตามการแปลของ CNBC บาโรต์เสริมว่าการลดความตึงเครียดผ่านช่องทางการทูตเป็นสิ่งจำเป็น และฝรั่งเศสมีความมุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมในกระบวนการนี้
นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ฟรีดริช แมร์ซ แสดงความเห็นในทำนองเดียวกันผ่านโพสต์หลายข้อความในแพลตฟอร์ม X โดยกล่าวว่า เยอรมนีพร้อมใช้ทุกเครื่องมือทางการทูตที่มีอยู่เพื่อโน้มน้าวฝ่ายที่ขัดแย้งกัน
“เรายืนยันว่าอิสราเอลมีสิทธิในการปกป้องการดำรงอยู่ของตนและความปลอดภัยของพลเมือง เราขอเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายหลีกเลี่ยงการดำเนินการใด ๆ ที่อาจนำไปสู่การยกระดับความขัดแย้งและทำให้ภูมิภาคไม่มั่นคงยิ่งขึ้น” เขากล่าว ตามรายงานแปลของ CNBC
“เป้าหมายสูงสุดจะต้องยังคงเป็นการป้องกันไม่ให้อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์” แมร์ซกล่าวเสริม
ในเอเชีย นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม กล่าวว่าตนประณามการโจมตีของอิสราเอล พร้อมเตือนว่าการกระทำดังกล่าวอาจทำให้ภูมิภาคนี้ไม่มั่นคงมากยิ่งขึ้น
“มาเลเซียเรียกร้องให้พันธมิตรของอิสราเอล — โดยเฉพาะประเทศที่มีอิทธิพลและอำนาจต่อรอง — ใช้แรงกดดันอย่างสูงสุดเพื่อหยุดยั้งการรุกรานเพิ่มเติม” เขากล่าวในโพสต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X
ในขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียออกแถลงการณ์ประณามการโจมตีของอิสราเอล และระบุว่าการโจมตีรัฐสมาชิกสหประชาชาติอย่างไม่มีเหตุอันสมควรถือเป็นสิ่งที่ “ไม่อาจยอมรับได้โดยเด็ดขาด”
สถานการณ์อันตราย
ในอีกด้านหนึ่ง นางคายา คัลลาส ผู้แทนระดับสูงด้านนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป กล่าวว่าสถานการณ์ในตะวันออกกลางในขณะนี้ “เป็นอันตราย”
“แนวทางการทูตยังคงเป็นหนทางที่ดีที่สุด และดิฉันพร้อมที่จะสนับสนุนความพยายามทางการทูตใด ๆ ที่มุ่งลดความตึงเครียด” เธอกล่าวในโพสต์บนแพลตฟอร์ม X
โฆษกของนายอันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า เลขาธิการฯ ประณาม “การยกระดับทางทหารใด ๆ ในตะวันออกกลาง” และเรียกร้องให้ “ทุกฝ่ายใช้ความอดกลั้นอย่างสูงสุด”
“เขารู้สึกกังวลอย่างยิ่งต่อการโจมตีของอิสราเอลต่อสถานที่นิวเคลียร์ในอิหร่าน ขณะเดียวกันที่มีการเจรจาระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับสถานะของโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านอยู่ในขณะนี้” โฆษกกล่าวในแถลงการณ์
ปฏิกิริยาในภูมิภาค
ผู้นำหลายประเทศในตะวันออกกลางต่างออกมาแสดงความเห็น ขณะที่ตลาดโลกกำลังจับตามองความเป็นไปได้ที่ความขัดแย้งอาจลุกลามออกไป กระทรวงการต่างประเทศของซาอุดีอาระเบีย ระบุว่า ซาอุฯ ประณาม “การรุกรานอย่างโจ่งแจ้งของอิสราเอลต่อสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ซึ่งเป็นประเทศพี่น้อง ที่เป็นการบั่นทอนอธิปไตยและความมั่นคงของอิหร่าน และถือเป็นการละเมิดกฎหมายและหลักปฏิบัติระหว่างประเทศอย่างชัดเจน”
ความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบียกับอิหร่านเคยตึงเครียดอย่างต่อเนื่องจากประเด็นภูมิรัฐศาสตร์และการแข่งขันด้านน้ำมัน แต่ทั้งสองประเทศได้กลับมาสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2023
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ก็ออกมาประณามการโจมตีของอิสราเอลเช่นกัน และ “แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อการยกระดับสถานการณ์ที่ยังดำเนินอยู่ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อความมั่นคงและเสถียรภาพในภูมิภาค” ตามแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ UAE
“UAE เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ไขข้อพิพาทผ่านแนวทางทางการทูต แทนที่จะใช้การเผชิญหน้าและความรุนแรง และเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติดำเนินการอย่างเร่งด่วนและจำเป็นเพื่อให้เกิดการหยุดยิง และเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ” แถลงการณ์ระบุ ทั้งนี้ UAE ถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศอาหรับที่ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตบางส่วนหรือโดยสมบูรณ์กับอิสราเอล
ในอีกด้านหนึ่ง กระทรวงการต่างประเทศของกาตาร์ ระบุว่า การโจมตีดังกล่าวเป็น “การละเมิดอธิปไตยและความมั่นคงของอิหร่านอย่างชัดแจ้ง รวมถึงเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและหลักการที่ยึดถือกันมายาวนานอย่างเด่นชัด”
ขณะที่ตุรกี กล่าวว่าประเทศ “อิสราเอลต้องยุติการกระทำที่ก้าวร้าวโดยทันที เนื่องจากอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่ขยายวงกว้าง”
ในแถลงการณ์จากกระทรวงการต่างประเทศของตุรกี รัฐบาลอังการาซึ่งที่ผ่านมาเคยวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอิสราเอลของนายเบนจามิน เนทันยาฮูอย่างเปิดเผย ย้ำว่า “ไม่ต้องการเห็นการนองเลือดหรือการทำลายล้างใด ๆ เพิ่มเติมในตะวันออกกลาง”
ที่มา CNBC