.

การเจรจาการค้าลับระหว่างคณะผู้แทนสหรัฐฯ และจีนจะกลับมาเริ่มอีกครั้งในวันนี้ (11 พฤษภาคม)
11-5-2025
การเจรจาลับระหว่างคณะผู้แทนสหรัฐฯ และจีนเกี่ยวกับภาษีศุลกากรที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกได้สิ้นสุดลงหลังจากการเจรจายาวนานตลอดทั้งวัน และจะกลับมาเริ่มอีกครั้งในวันอาทิตย์ ตามที่เจ้าหน้าที่รายหนึ่งเปิดเผยกับ Associated Press ไม่มีสัญญาณชัดเจนว่ามีความคืบหน้าใด ๆ ในวันเสาร์ระหว่างการประชุมที่กินเวลานานกว่า 10 ชั่วโมง ระหว่างรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ และรองนายกรัฐมนตรีจีน เหอ ลี่เฟิง
เจ้าหน้าที่ที่ให้สัมภาษณ์กับ AP ขอสงวนชื่อเนื่องจากความอ่อนไหวของการเจรจา ซึ่งอาจช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดโลกที่ปั่นป่วนจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน การเจรจาเป็นไปอย่างลับเฉียบ โดยไม่มีฝ่ายใดให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหลังออกจากสถานที่เจรจา
มีขบวนรถสีดำหลายคันออกจากที่พำนักของเอกอัครราชทูตสวิสประจำสหประชาชาติในเจนีวา ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการเจรจาเพื่อคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก นักการทูตจากทั้งสองฝ่ายยืนยันว่าการเจรจาได้เกิดขึ้นจริง
การเจรจาเกิดขึ้นใน "วิลล่า ซาลาดิน" คฤหาสน์หรูหราจากศตวรรษที่ 18 ที่มองเห็นวิวทะเลสาบเจนีวา อสังหาริมทรัพย์แห่งนี้ได้รับมอบให้แก่รัฐสวิสในปี 1973 ตามรายงานของรัฐบาลเจนีวา
แม้โอกาสของความก้าวหน้าครั้งใหญ่จะดูริบหรี่ แต่ก็มีความหวังว่าสองประเทศจะลดอัตราภาษีที่สูงอย่างมหาศาลลง ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบต่อตลาดการเงินโลก และบรรดาบริษัทที่พึ่งพาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน
เมื่อเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้เพิ่มภาษีต่อสินค้าจีนเป็นรวม 145% และจีนตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ 125% ซึ่งภาษีในระดับนี้เทียบเท่ากับการคว่ำบาตรสินค้าระหว่างกัน ทำให้การค้าที่มีมูลค่าสูงถึง 660 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้วได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
แม้กระทั่งก่อนเริ่มการเจรจา ทรัมป์ยังได้โพสต์ใน Truth Social เมื่อวันศุกร์ว่า “ภาษี 80% ก็ดูสมเหตุสมผล! ขึ้นอยู่กับสก็อตต์” บ่งชี้ว่าสหรัฐฯ อาจลดภาษีต่อจีน
ซุน หยุน ผู้อำนวยการโครงการจีนที่ศูนย์สติมสัน กล่าวว่านี่เป็นครั้งแรกที่เหอและเบสเซนต์ได้พูดคุยกัน เธอสงสัยว่าการประชุมที่เจนีวาจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมใด ๆ
“สถานการณ์ที่ดีที่สุดคือทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะลดระดับความตึงเครียดด้านภาษีในเวลาเดียวกัน” เธอกล่าว พร้อมเสริมว่าการลดภาษีแม้เพียงเล็กน้อยก็จะส่งสัญญาณบวก “มันไม่สามารถเป็นแค่คำพูดได้”
นับตั้งแต่กลับเข้าสู่ทำเนียบขาวในเดือนมกราคม ทรัมป์ได้ใช้ภาษีศุลกากรเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจหลักของเขา เขาได้เก็บภาษีนำเข้าจากแทบทุกประเทศในโลกที่อัตรา 10%
แต่ความขัดแย้งกับจีนถือว่ารุนแรงที่สุด ภาษีต่อจีนรวมถึงอัตรา 20% ที่มีจุดประสงค์เพื่อกดดันให้ปักกิ่งดำเนินการมากขึ้นในการยับยั้งการไหลเข้าของยาเฟนทานิลสังเคราะห์เข้าสหรัฐฯ ภาษีส่วนที่เหลืออีก 125% เป็นผลจากข้อพิพาทที่มีมาตั้งแต่สมัยทรัมป์ดำรงตำแหน่งครั้งแรก ซึ่งรวมถึงภาษีที่เขาเก็บตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ทำให้ภาษีต่อสินค้าจีนบางรายการสูงกว่า 145%
ในสมัยแรกของทรัมป์ สหรัฐฯ กล่าวหาว่าจีนใช้กลยุทธ์ที่ไม่เป็นธรรมเพื่อได้เปรียบด้านเทคโนโลยีล้ำหน้า เช่น ควอนตัมคอมพิวติ้ง และรถยนต์ไร้คนขับ รวมถึงการบังคับให้บริษัทต่างชาติถ่ายโอนความลับทางการค้าเพื่อเข้าถึงตลาดจีน การอุดหนุนบริษัทเทคโนโลยีภายในประเทศด้วยเงินรัฐบาล และการขโมยเทคโนโลยีที่ละเอียดอ่อน
ประเด็นเหล่านี้ไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ หลังจากเจรจานานเกือบ 2 ปี สหรัฐฯ และจีนได้ทำข้อตกลงเฟสแรกในเดือนมกราคม 2020 โดยสหรัฐฯ ตกลงที่จะไม่ขึ้นภาษีเพิ่มเติม และจีนสัญญาว่าจะซื้อสินค้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น แต่จีนไม่สามารถทำตามข้อตกลงได้ ส่วนหนึ่งเนื่องจากโควิด-19 ที่ทำให้การค้าทั่วโลกชะงักลงหลังจากประกาศข้อตกลงดังกล่าว
ขณะนี้การต่อสู้เกี่ยวกับนโยบายเทคโนโลยีของจีนกลับมาอีกครั้ง
ทรัมป์ยังไม่พอใจกับการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งอยู่ที่ 263 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
ในวันศุกร์ที่สวิตเซอร์แลนด์ เบสเซนต์และกรีร์ยังได้พบกับประธานาธิบดีสวิส คารีน เคลเลอร์-ซัทเทอร์ ด้วย
เมื่อเดือนที่แล้ว ทรัมป์ระงับแผนการขึ้นภาษี 31% ต่อสินค้าสวิส ซึ่งสูงกว่าภาษี 20% ที่เขาเก็บจากสินค้าส่งออกของสหภาพยุโรป ในตอนนี้เขาลดภาษีลงเหลือ 10% แต่อาจปรับเพิ่มขึ้นอีก
รัฐบาลในกรุงเบิร์นดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวัง แต่ได้เตือนว่าการเพิ่มความตึงเครียดทางการค้าจะกระทบอุตสาหกรรมสำคัญของสวิตเซอร์แลนด์ เช่น นาฬิกา แคปซูลกาแฟ ชีส และช็อกโกแลต
“การเพิ่มความตึงเครียดทางการค้าไม่เป็นผลดีต่อสวิตเซอร์แลนด์ มาตรการตอบโต้ต่อการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ จะสร้างต้นทุนให้กับเศรษฐกิจสวิส โดยเฉพาะการทำให้สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ แพงขึ้น” รัฐบาลกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พร้อมเสริมว่าฝ่ายบริหาร “ยังไม่มีแผนจะใช้มาตรการตอบโต้ในขณะนี้”
รัฐบาลยังกล่าวว่าสินค้าส่งออกของสวิตเซอร์แลนด์ไปยังสหรัฐฯ ในวันเสาร์ถูกเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก 10% และจะเพิ่มอีก 21% เริ่มวันพุธ
สหรัฐฯ เป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับสองของสวิตเซอร์แลนด์รองจากสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศ 27 ชาติที่ล้อมรอบประเทศแอลไพน์ที่ร่ำรวยซึ่งมีประชากรเกิน 9 ล้านคน การค้าสินค้าและบริการระหว่างสหรัฐฯ-สวิตเซอร์แลนด์เพิ่มขึ้นถึงสี่เท่าในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลกล่าว
รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ระบุว่าสวิตเซอร์แลนด์ได้ยกเลิกภาษีอุตสาหกรรมทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมปีที่แล้ว ซึ่งหมายความว่าสินค้าจากสหรัฐฯ ถึง 99% สามารถนำเข้าได้โดยปลอดภาษี
ที่มา CNBC
----------------------------
สหรัฐฯ-จีน เปิดโต๊ะเจรจาที่สวิตฯ มุ่งคลี่คลายสงครามภาษีที่กระทบเศรษฐกิจโลก $46 ล้านล้าน
11-5-2025
"ทรัมป์-สี จิ้นผิง ส่งตัวแทนเจรจาการค้า หวังลดความตึงเครียดภาษีนำเข้าระหว่างประเทศ" การเจรจาที่มีความสำคัญระดับสูงระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกกำลังจะเริ่มขึ้นที่สวิตเซอร์แลนด์ในวันเสาร์นี้ นับเป็นโอกาสที่ชัดเจนที่สุดสำหรับสหรัฐอเมริกาและจีนในการลดระดับสงครามการค้าที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง
รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ และรองนายกรัฐมนตรีจีน เหอ หลี่เฟิง จะเป็นผู้นำการเจรจาซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาสองวันในนครเจนีวา ถือเป็นการเจรจาแบบเผชิญหน้าครั้งแรกที่เปิดเผยสู่สาธารณะ นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนที่อัตรา 145% และปักกิ่งตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้าอเมริกันหลายรายการที่อัตรา 125% พร้อมกับบังคับใช้มาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากเพิ่มเติม โดยเจมีสัน กรีเออร์ ผู้นำด้านการค้าของสหรัฐฯ คาดว่าจะเข้าร่วมการเจรจาด้วย
ทั้งสองฝ่ายต่างพยายามแสดงความมั่นใจว่าตนมีความได้เปรียบ แต่สถานการณ์ปัจจุบันกลับแฝงไว้ด้วยความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญ
การโต้ตอบกันด้วยมาตรการตอบโต้ทางการค้าครั้งนี้ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดการเงิน พร้อมกับคุกคามว่าจะเกิดภาวะสินค้าขาดตลาดและราคาสินค้าที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภคชาวอเมริกัน สร้างแรงกดดันให้ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องหาทางออกจากความขัดแย้งกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้นำจีนได้พยายามเสริมความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจของประเทศเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจา แต่ข้อมูลล่าสุดกลับแสดงสัญญาณถึงความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ
ประธานาธิบดีทรัมป์ส่งสัญญาณที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่ต้องการจากการประชุมครั้งนี้ เขากล่าวย้ำหลายครั้งว่าไม่เต็มใจที่จะลดภาษีศุลกากรโดยปราศจากการผ่อนปรนจากฝั่งจีน แม้ว่าในวันศุกร์ เขาได้เสนอความเห็นว่าอัตราภาษี 80% "ดูเหมาะสม"
"เราต้องทำข้อตกลงที่ยอดเยี่ยมเพื่อประเทศอเมริกา" ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา "ผมคิดว่าเราจะกลับมาพร้อมข้อตกลงที่เป็นธรรมสำหรับทั้งจีนและเรา"
เบสเซนต์ได้ลดความสำคัญของผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อวันพุธ โดยแจ้งต่อสมาชิกรัฐสภาว่าการเจรจายังอยู่ในระยะเริ่มต้น และมุ่งเน้นที่การลดความตึงเครียดมากกว่าการบรรลุข้อตกลงที่ครอบคลุม อย่างไรก็ตาม ตัวประธานาธิบดีทรัมป์เองกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่าเขาคาดหวังความคืบหน้า "ที่เป็นรูปธรรม" เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ รายอื่นเน้นย้ำถึงโอกาสในการบรรเทาความขัดแย้ง
ฮาวเวิร์ด ลุตนิค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์เมื่อเย็นวันศุกร์ว่า "ไม่มีโอกาส" ที่ภาษีจะถูกระงับทั้งหมด ไม่ว่าผลการเจรจาในสุดสัปดาห์นี้จะเป็นอย่างไร เขากล่าวเสริมว่า หากการเจรจาดำเนินไปด้วยดี ภาษี "จะลดลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม ระดับที่เราสามารถทำธุรกิจได้ จะยังคงมีการเก็บภาษีในอัตราที่มีนัยสำคัญ ประธานาธิบดีจะคงการเก็บภาษีการค้ากับจีนในระดับที่มีนัยสำคัญ นั่นคือเป้าหมายของเขา นั่นคือสิ่งที่เขาคาดหวัง และควรเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดหวังด้วย"
ด้านจีนใช้แนวทางที่ระมัดระวัง โดยตั้งความคาดหวังไว้ต่ำก่อนการเจรจา มองว่าการพบปะครั้งนี้เป็นเพียงการสำรวจความเป็นไปได้มากกว่าที่จะนำไปสู่ข้อตกลงใหญ่ในทันที ตัวแทนของประธานาธิบดีสีจะวัดว่าคู่เจรจาฝ่ายสหรัฐฯ จริงจังเพียงใดในการแสวงหาความก้าวหน้า ตามที่อู๋ ซินโป ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาอเมริกันแห่งมหาวิทยาลัยฟู่ตั้นในเซี่ยงไฮ้และที่ปรึกษาของรัฐมนตรีต่างประเทศจีนให้ความเห็น
เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศซึ่งมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศรวมกันสูงถึง 46 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียมากหากการเจรจาล้มเหลว ภาษีศุลกากรในระดับปัจจุบันจะทำลายการค้าทวิภาคีถึง 90% ตามการประมาณการของ Bloomberg Economics
ผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าเริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว ซึ่งบ่งชี้ถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้
ปริมาณการขนส่งสินค้าจากจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ในจีน โรงงานผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคหลายแห่งได้ชะลอหรือหยุดสายการผลิต การค้าระหว่างสองประเทศมีมูลค่าประมาณ 7 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี และจีนมีการลงทุนในสหรัฐอเมริกาประมาณ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์
ความขัดแย้งนี้ส่งผลให้ปักกิ่งขยายการค้าไปยังตลาดอื่น ในขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลงถึง 21% ข้อมูลการค้าที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์แสดงให้เห็นว่าการส่งออกจากจีนไปยังสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น 8% ในเดือนที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจภายในประเทศของจีนยังคงประสบปัญหาจากตัวเลขภาคการผลิตที่ซบเซาและภาวะเงินฝืดที่ไม่มีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากการแข่งขันในตลาดภายในประเทศรุนแรงขึ้นท่ามกลางตลาดแรงงานที่อ่อนแอ
แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังคงมีความแข็งแกร่ง แต่นักวิเคราะห์เตือนว่าภาวะสินค้าขาดตลาดจะเริ่มปรากฏชัดเจนในรูปแบบของชั้นวางสินค้าว่างเปล่าในอีกไม่กี่สัปดาห์หรือเดือนข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน โดยเฉพาะในภาคการขนส่งทางรถบรรทุก โลจิสติกส์ และค้าปลีก ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้เตือนถึงความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น เศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวในช่วงต้นปีเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2022 แม้ว่าดัชนีวัดอุปสงค์พื้นฐานจะยังคงมั่นคง
ผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าที่นำโดยสหรัฐฯ กำลังส่งผลสะเทือนไปทั่วโลก องค์การการค้าโลกได้ปรับลดการคาดการณ์การค้าสินค้าในปีนี้ และคาดว่าปริมาณจะลดลง 0.2% ซึ่งต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเกือบ 3 เปอร์เซ็นต์ ในเดือนเมษายน องค์การการค้าโลกได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตในปีนี้และปีหน้าลงอย่างมาก พร้อมเตือนว่าแนวโน้มอาจแย่ลงอีก
สำหรับประธานาธิบดีทรัมป์ เป้าหมายสำคัญคือการปรับสมดุลการค้า โดยเขาย้ำเมื่อวันศุกร์ว่าต้องการให้ปักกิ่งเปิดตลาดให้กับสหรัฐฯ ทรัมป์ยังส่งสัญญาณหลายครั้งว่าเขามองการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ เป็นเครื่องมือสำคัญในการกดดันให้เกิดการประนีประนอม
"พวกเขามีสิ่งที่จะได้รับมากมายจากการเจรจา" ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันพฤหัสบดี "ในแง่หนึ่ง พวกเขามีโอกาสได้รับประโยชน์มากกว่าเราหลายเท่า"
อย่างไรก็ตาม จีนมองว่าภาษีเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความพยายามในวงกว้างของสหรัฐฯ เพื่อสกัดกั้นการเติบโตของจีน สำหรับปักกิ่ง ความขัดแย้งนี้ไม่ใช่เพียงสงครามการค้าเท่านั้น ตามความเห็นของเรจินา อิป สมาชิกสภานิติบัญญัติฮ่องกงและผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีของผู้บริหารสูงสุดจอห์น ลี เธอกล่าวว่าความขัดแย้งนี้คุกคามการอยู่รอดของจีนเอง
"จีนตั้งใจที่จะยอมรับความเจ็บปวดนี้ - 'ไม่ยอมคุกเข่า' - พวกเขากำลังใช้จุดยืนที่แข็งกร้าวมาก" เธอกล่าว แต่เธอก็เตือนว่า: "ทั้งสองฝ่ายต้องเล่นไพ่ในมืออย่างระมัดระวัง พวกเขาต้องเคลื่อนไหวทุกย่างก้าวด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลาย"
แม้กระทั่งหนึ่งสัปดาห์ก่อนการเจรจา วอชิงตันและปักกิ่งก็ยังโต้เถียงกันว่าฝ่ายใดเป็นผู้ริเริ่มการเจรจาครั้งนี้
หนึ่งในประเด็นสำคัญของสหรัฐฯ ก่อนเข้าสู่การเจรจาคือการขอให้จีนผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออกแร่หายากซึ่งใช้ในการผลิตแม่เหล็กสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ตั้งแต่หุ่นยนต์ไปจนถึงเครื่องยนต์เจ็ท
คณะบริหารของทรัมป์ยังต้องการให้จีนควบคุมการลักลอบค้ายาเฟนทานิลโดยยับยั้งการไหลเวียนของสารตั้งต้นที่ใช้ผลิตโอปิออยด์ชนิดนี้ อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าในประเด็นนี้อาจดำเนินการในช่องทางแยกต่างหาก นอกเหนือจากการเจรจาที่เจนีวา
จีนยืนยันว่าได้ปราบปรามการค้าเฟนทานิลอย่างเข้มงวด และถึงกับกล่าวว่าวอชิงตันควร "ขอบคุณอย่างมาก" สำหรับความพยายามของจีนในเรื่องนี้
---
IMCT NEWS
----------------------------
ไม่มีเรือจากจีนมุ่งหน้าสู่ท่าเรือหลักของแคลิฟอร์เนียเลยแม้แต่ลำเดียว — เจ้าหน้าที่ระบุว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นนับตั้งแต่ช่วงการระบาดของโควิด
11-5-2025
ช่วงเช้าวันศุกร์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ท่าเรือชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับ CNN ถึงภาพที่น่าตกใจ: ไม่มีเรือบรรทุกสินค้าแม้แต่ลำเดียว ที่ออกจากจีนเพื่อมุ่งหน้าสู่สองท่าเรือใหญ่ฝั่งตะวันตกในช่วง 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา — สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 เมื่อหกวันก่อน ยังมีเรือ 41 ลำตามกำหนดการที่จะออกเดินทางจากจีนไปยังกลุ่มท่าเรือซานเปโดรเบย์ (San Pedro Bay Complex) ซึ่งครอบคลุมทั้งท่าเรือลอสแอนเจลิสและท่าเรือลองบีชในรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่ในวันศุกร์ที่ผ่านมา จำนวนนี้กลายเป็นศูนย์
สาเหตุหลักคือ สงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเมื่อเดือนที่แล้วได้กำหนดภาษีขาเข้าสูงลิ่วกับสินค้านำเข้าจากจีนเกือบทั้งหมด ส่งผลให้มีเรือสินค้าน้อยลง และการค้าระหว่างประเทศระหว่างสองประเทศใหญ่หดตัวลงอย่างเห็นได้ชัด หลายบริษัทมองว่าต้นทุนการนำเข้าสินค้าจากจีนในตอนนี้ “สูงเกินไป” ทำให้การค้ากับจีนซึ่งเคยเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ กลายเป็นเรื่องยาก
สิ่งที่เจ้าหน้าที่กังวลไม่ใช่แค่จำนวนเรือที่หายไปเท่านั้น แต่รวมถึง “ความเร็ว” ที่จำนวนเรือเหล่านี้หายไปด้วย
“นี่คือสัญญาณที่น่ากังวล” มาริโอ คอร์เดโร ซีอีโอของท่าเรือลองบีชกล่าว
“ตอนนี้เรากำลังเห็นตัวเลขการยกเลิกและเรือเข้าเทียบท่าที่น้อยกว่าสมัยโควิดเสียอีก”
ท่าเรือที่เคยคึกคักที่สุดในประเทศกำลังเผชิญกับปริมาณสินค้าลดลงอย่างรุนแรง — ท่าเรือลองบีชมีปริมาณสินค้าลดลง 35-40% เมื่อเทียบกับระดับปกติ ขณะที่ท่าเรือลอสแอนเจลิสก็ลดลง 31% ในสัปดาห์นี้ ส่วนท่าเรือนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์ก็เตรียมรับมือกับสถานการณ์ชะลอตัวเช่นกัน ด้านท่าเรือซีแอตเทิลรายงานว่าไม่มีเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์เทียบท่าเลยในวันพุธ — สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยตั้งแต่โควิด
“มันเป็นเพราะไม่มีสินค้าเลยที่ถูกส่งออกมา” ไรอัน คอลกินส์ กรรมาธิการท่าเรือกล่าวกับผู้สื่อข่าว CNN
สหรัฐฯ – จีน เตรียมเจรจาแบบพบหน้า หวังคลี่คลายสงครามการค้า
ผู้แทนการค้าจากสหรัฐฯ และจีน เตรียมพบกันแบบตัวต่อตัวครั้งแรกในกรุงเจนีวาช่วงสุดสัปดาห์นี้ เพื่อพยายามลดความตึงเครียดจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรง
ปัจจุบัน สินค้าจากจีนที่ส่งไปยังสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ต้องเสียภาษีสูงถึง 145% ขณะที่สินค้าจากสหรัฐฯ ที่ส่งออกไปจีนก็ถูกเก็บภาษี 125% เช่นกัน
ในวันศุกร์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์เสนอแนวทางลดภาษีจากจีนเหลือ 80% แต่ระบุว่าข้อสรุปสุดท้ายจะขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์
ผลกระทบต่อผู้บริโภคเริ่มใกล้เข้ามา
สำหรับผู้บริโภคในสหรัฐฯ ที่เริ่มเจอกับราคาสินค้าสูงขึ้น หรือสินค้าเริ่มขาดตลาด คอร์เดโรเตือนว่า ข้อตกลงควรเกิดขึ้นโดยเร็ว
“ถ้าสถานการณ์ไม่เปลี่ยนเร็วๆ นี้ — โดยเฉพาะความไม่แน่นอนที่กำลังเกิดขึ้น — เราอาจได้เห็น ‘ชั้นวางสินค้าว่างเปล่า’ ภายใน 30 วันข้างหน้า” เขากล่าว
ปัจจุบัน ราว 63% ของสินค้าที่เข้าสู่ท่าเรือลองบีชมาจากจีน ซึ่งยังคงเป็นสัดส่วนสูงที่สุดในบรรดาท่าเรือของสหรัฐฯ แม้ว่าจะลดลงจาก 72% ในปี 2016 เนื่องจากผู้ค้าปลีกเริ่มหลีกเลี่ยงจีนมากขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้า
ถึงอย่างนั้น จีนก็ยังคงเป็นแหล่งนำเข้าสำคัญของสหรัฐฯ โดย Maersk บริษัทเดินเรือใหญ่อันดับ 2 ของโลก ระบุว่า ปริมาณสินค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ลดลงถึง 30-40% เมื่อเทียบกับภาวะปกติ
“ถ้าเราไม่เริ่มเห็นการลดความตึงเครียดกับจีน หรือไม่มีการเจรจาทางการค้าเพิ่มขึ้น เราอาจกำลังเข้าสู่สถานการณ์ที่ผลกระทบเหล่านี้ยิ่งหยั่งรากลึก และยากจะแก้ไข” วินเซนต์ แคลร์ก ซีอีโอของ Maersk กล่าว
IMCT News
ขอบคุณภาพจาก Xinhua
ที่มา : https://edition.cnn.com/2025/05/10/business/zero-ships-china-trade-ports-pandemic