.

แอฟริกามุ่งขับเคลื่อนสู่อิสรภาพทางเศรษฐกิจ 'ต่อต้านระบบหนี้ตะวันตกและหันสู่ BRICS'
14-3-2025
ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2025 อดีตผู้นำประเทศและผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินจากทั่วทวีปแอฟริกาได้รวมตัวกันที่เมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ เพื่อลงนามในปฏิญญาเคปทาวน์ ซึ่งเป็นการเรียกร้องอย่างเด็ดเดี่ยวให้มีโครงการบรรเทาหนี้อย่างครอบคลุมสำหรับประเทศในแอฟริกา ความคิดริเริ่มนี้นำโดยกลุ่ม African Leaders Debt Relief Initiative (ALDRI) เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจของแอฟริกากำลังถูกพันธนาการด้วยภาระหนี้ที่บั่นทอนการพัฒนา บีบบังคับให้รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับการชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ตะวันตกและเอกชนมากกว่าบริการพื้นฐานที่จำเป็น เช่น การศึกษา การดูแลสุขภาพ และโครงสร้างพื้นฐาน
ตัวเลขที่น่าตกใจแสดงให้เห็นว่า ณ ปี 2021 หนี้ต่างประเทศของแอฟริกาพุ่งสูงถึง 824 พันล้านดอลลาร์ โดยหลายประเทศต้องใช้เงินมากกว่า 60% ของ GDP เพื่อชำระหนี้เหล่านี้ ในปี 2025 เพียงปีเดียว คาดการณ์ว่าแอฟริกาจะต้องใช้เงินถึง 74,000 ล้านดอลลาร์ในการชำระหนี้ ซึ่งเป็นเงินที่ควรนำไปใช้สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล และถนนแทน แต่วิกฤตการณ์นี้ไม่ใช่เพียงกรณีการบริหารจัดการทางการเงินที่ผิดพลาดเท่านั้น หากแต่เป็นการสืบทอดระบบการกดขี่ทางเศรษฐกิจที่เริ่มต้นในยุคอาณานิคมและได้รับการพัฒนาจนสมบูรณ์แบบในยุคหลังเอกราชผ่านสถาบันต่างๆ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก
เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ประเทศในแอฟริกาต่อสู้เพื่อปลดแอกจากการครอบงำทางเศรษฐกิจของตะวันตก และผู้นำที่มีวิสัยทัศน์หลายคนได้เสนอทางออกที่แหวกแนวเพื่อปลดปล่อยทวีป หนึ่งในความพยายามที่ทะเยอทะยานที่สุดคือการริเริ่มของมูอัมมาร์ กัดดาฟี ซึ่งพยายามก่อตั้งสกุลเงินแอฟริกาที่หนุนหลังด้วยทองคำ ธนาคารกลางแอฟริกา และองค์กรทรัพยากรธรรมชาติแอฟริกา หากความคิดริเริ่มเหล่านี้ประสบความสำเร็จ อาจนำไปสู่การยุติการพึ่งพาสถาบันการเงินตะวันตกของแอฟริกาได้
รากเหง้าของวิกฤตหนี้แอฟริกาในยุคอาณานิคม ไม่อาจเข้าใจวิกฤตหนี้ของแอฟริกาในปัจจุบันได้หากไม่ย้อนกลับไปพิจารณาอดีตในยุคอาณานิคม มหาอำนาจยุโรปได้ขูดรีดทรัพยากรมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์จากทวีปแอฟริกา โดยแทบไม่ได้ตอบแทนในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมเลย เมื่อกระแสการเรียกร้องเอกราชแพร่กระจายไปทั่วแอฟริกาในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ประเทศมหาอำนาจไม่ได้เพียงถอนตัวออกไป แต่ยังสร้างภาระหนี้อันอยุติธรรมให้กับประเทศที่เพิ่งได้รับเอกราช ทำให้ประเทศเหล่านี้ยังคงต้องพึ่งพาทางเศรษฐกิจต่อไป
ยกตัวอย่างเช่นกรณีของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) เมื่อเบลเยียมยอมปล่อยอำนาจเหนือประเทศนี้ในปี 2503 (1960) ได้ทิ้งสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่และแทบไม่มีความมั่งคั่งของชาติเหลืออยู่ ปาทริซ ลูมัมบา นายกรัฐมนตรีคนแรกพยายามโอนทรัพยากรของประเทศให้เป็นของชาติเพื่อประโยชน์ของประชาชน การตอบโต้จากตะวันตกคือ การรัฐประหารที่สนับสนุนโดยซีไอเอซึ่งนำไปสู่การลอบสังหารเขา สหรัฐฯ และเบลเยียมได้สถาปนาโมบูตู เซเซ เซโก ขึ้นแทนที่ ซึ่งต่อมาได้สะสมหนี้หลายพันล้านดอลลาร์ในขณะที่ฉกฉวยความมั่งคั่งของชาติ ประชาชนคองโกยังคงต้องแบกรับผลพวงจากความอยุติธรรมนี้มาจนถึงปัจจุบัน
ในช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 กองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลกได้บังคับใช้โครงการปรับโครงสร้าง (SAP) กับประเทศในแอฟริกา ซึ่งบีบบังคับให้ประเทศเหล่านี้ต้องลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ แปรรูปรัฐวิสาหกิจ และเปิดเศรษฐกิจให้กับนักลงทุนต่างชาติ นโยบายเหล่านี้ซึ่งถูกอำพรางในรูปของ "การปฏิรูปเศรษฐกิจ" ได้ทำลายภาคสาธารณะของแอฟริกา เพิ่มอัตราการว่างงาน และทำลายอุตสาหกรรมท้องถิ่น ในขณะที่บริษัทตะวันตกกลับทำกำไรมหาศาล
กับดักหนี้ในปัจจุบัน: รูปแบบใหม่ของลัทธิล่าอาณานิคม มาถึงปี 2025 แอฟริกายังคงติดอยู่ในโครงสร้างเศรษฐกิจที่เอื้อประโยชน์ต่อสถาบันการเงินตะวันตก บรรษัทข้ามชาติ และเจ้าหนี้เอกชน ตามข้อมูลของธนาคารพัฒนาแอฟริกา (AfDB) หนี้ของแอฟริกาเกือบ 49% ในปัจจุบันอยู่ในมือของผู้ให้กู้เอกชน (คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 54%) ซึ่งแตกต่างจากเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำจาก AfDB หรือธนาคารโลก เงินกู้จากภาคเอกชนเหล่านี้มาพร้อมอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าอัตราที่ประเทศตะวันตกต้องจ่ายถึง 5 เท่า
และยังมีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "ส่วนเพิ่มราคาแอฟริกา" (Africa premium) ซึ่งเป็นสถานการณ์อันน่าขมขื่นที่ประเทศในแอฟริกาต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า ทั้งที่มีอัตราการผิดนัดชำระหนี้ต่ำกว่าเศรษฐกิจตะวันตก
ประธาน AfDB อาคินวูมิ อาเดซีนา ได้ประณามการเหยียดเชื้อชาติทางการเงินนี้อย่างต่อเนื่อง โดยกล่าวว่า "ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจใดที่อธิบายได้ว่าทำไมแอฟริกา ซึ่งมีอัตราการผิดนัดชำระหนี้ต่ำที่สุดแห่งหนึ่ง จึงต้องถูกลงโทษด้วยต้นทุนการกู้ยืมที่สูงกว่า"
วิสัยทัศน์ของกัดดาฟี: เส้นทางสู่อธิปไตยทางเศรษฐกิจของแอฟริกา ผู้นำแอฟริกาบางคนไม่ยอมรับระบบการเป็นทาสทางเศรษฐกิจนี้ บางคนพยายามล้มล้างระเบียบการเงินที่ควบคุมโดยตะวันตก และไม่มีใครทำเช่นนี้มากไปกว่ามูอัมมาร์ กัดดาฟี ปฏิเสธไม่ได้ว่ากัดดาฟีเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลที่สุดในการสร้างเอกราชทางเศรษฐกิจให้แอฟริกา
ข้อเสนอที่ล้ำหน้าที่สุดของกัดดาฟีคือการสร้างสกุลเงินแอฟริกาที่หนุนหลังด้วยทองคำ เรียกว่า "ทองคำดีนาร์" (Gold Dinar) สิ่งนี้จะทำให้แอฟริกาหลุดพ้นจากการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐและยูโร ทำให้ประเทศในแอฟริกาสามารถทำการค้าระหว่างกันด้วยสกุลเงินที่อิงกับทรัพยากรของตนเอง
มหาอำนาจตะวันตกเข้าใจดีว่าการเคลื่อนไหวเช่นนี้จะบั่นทอนความเหนือกว่าของระบบการเงินของพวกเขา อีเมลของฮิลลารี คลินตันที่รั่วไหลออกมาเปิดเผยว่าหนึ่งในเหตุผลหลักที่นาโต้เข้าแทรกแซงลิเบียในปี 2554 (2011) คือการป้องกันไม่ให้กัดดาฟีเปิดตัวสกุลเงินที่หนุนหลังด้วยทองคำ
กัดดาฟียังเสนอให้จัดตั้งองค์กรทรัพยากรธรรมชาติแอฟริกา (African Organization of Natural Resources: AONR) สถาบันที่จะรวมการจัดการทรัพยากรของแอฟริกาและรับประกันว่าความมั่งคั่งของทวีปจะถูกควบคุมโดยชาวแอฟริกาเอง ไม่ใช่บริษัทต่างชาติ และโครงการเศรษฐกิจที่ทะเยอทะยานที่สุดของเขาคือการจัดตั้งธนาคารกลางแอฟริกา (African Central Bank: ACB) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในไนจีเรีย ACB จะทำหน้าที่เป็นทางเลือกแทน IMF และธนาคารโลก โดยออกสกุลเงินแอฟริกาและให้เงินทุนเพื่อการพัฒนาโดยไม่ต้องพึ่งพาสถาบันการเงินตะวันตก
การปรับเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์: แอฟริกาและ BRICS หากแอฟริกาจริงจังกับการหลุดพ้นจากการครอบงำทางเศรษฐกิจของตะวันตก ทวีปนี้ต้องแสวงหาพันธมิตรนอกกลุ่มตะวันตก และ BRICS นำเสนอทางเลือกที่ดีที่สุด ประเทศในกลุ่ม BRICS เป็นตัวแทนของอำนาจทางเศรษฐกิจโลกในสัดส่วนที่สำคัญ โดยควบคุม GDP โลก (คำนวณตามความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ) มากกว่า 31.5% ในปี 2567 (2024) แซงหน้ากลุ่ม G7 ที่ถือครอง 30%
ทำไมต้องเป็น BRICS? ประการแรก BRICS ให้การเข้าถึงแหล่งเงินทุนทางเลือก: ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (New Development Bank: NDB) ที่ก่อตั้งโดย BRICS ให้เงินกู้โดยไม่มีเงื่อนไขแบบอาณานิคมอย่าง IMF และธนาคารโลก นอกจากนี้ยังเป็นช่องทางลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ เนื่องจาก BRICS กำลังส่งเสริมการค้าในสกุลเงินท้องถิ่นอย่างจริงจัง ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของแอฟริกาเองในการก้าวสู่ความเป็นอิสระทางสกุลเงิน ยังมีประเด็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการสร้างอุตสาหกรรม: จีนและอินเดียในฐานะยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต สามารถให้การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและถ่ายทอดเทคโนโลยีโดยไม่มีเงื่อนไขเอาเปรียบเหมือนที่ตะวันตกกำหนด
นอกจากนี้ BRICS ยังหมายถึงเงื่อนไขการค้าที่เป็นธรรมมากกว่า เพราะต่างจากข้อตกลงการค้าของตะวันตกที่เอื้อประโยชน์ต่อบรรษัทข้ามชาติ พันธมิตร BRICS แสดงความเต็มใจมากกว่าในการเจรจาข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม แอฟริกาไม่ควรเพียงแค่เปลี่ยนจากการพึ่งพาตะวันตกไปสู่การตกอยู่ใต้อาณัติในรูปแบบอื่น ความสัมพันธ์กับ BRICS ต้องเป็นไปอย่างมียุทธศาสตร์ ให้แน่ใจว่าแอฟริกาได้รับอำนาจต่อรองที่แท้จริง ประการแรก ประเทศในแอฟริกาต้องเรียกร้องการถ่ายทอดเทคโนโลยีแทนที่จะเป็นเพียงผู้จัดหาวัตถุดิบ ต่อมา ควรขยายเขตการค้าเสรีทวีปแอฟริกา (AfCFTA) เพื่อสร้างตลาดภายในที่เข้มแข็งก่อนแสวงหาความร่วมมือทางการค้าภายนอก และสุดท้าย แอฟริกาควรเจรจากับ BRICS ในฐานะกลุ่มก้อนแทนที่จะเป็นข้อตกลงแยกส่วนรายประเทศซึ่งทำให้จุดยืนอ่อนแอลง
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ตะวันตกได้ทำลายความฝันของกัดดาฟีเรื่องความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงเป็นหน้าที่ของแอฟริกาที่จะฟื้นฟูความฝันนั้น ศตวรรษที่ 21 ต้องเป็นยุคแห่งการรื้อถอนระบบอาณานิคมทางการเงิน และสร้างพันธมิตรใหม่ที่รับใช้ผลประโยชน์ของแอฟริกา BRICS นำเสนอทางเลือกที่มีความหวัง แต่ท้ายที่สุดแล้ว การปลดปล่อยทางเศรษฐกิจของแอฟริกาต้องมาจากภายใน ทวีปนี้ต้องรวมตัวกัน เป็นเจ้าของทรัพยากรของตน ควบคุมสกุลเงินของตน และกำหนดอนาคตทางเศรษฐกิจของตนเอง มิฉะนั้น จะต้องถูกพันธนาการกับความปรารถนาของเจ้าหนี้ต่างชาติตลอดไป
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.rt.com/africa/614129-africa-debt-struggle-for-economic-liberation/