.

การตอบโต้ทางภาษีของจีน กลยุทธ์เชิงรุกน็อกเอาต์ทางการค้าที่อาจฉุดสหรัฐฯ ร่วงจากเวทีเศรษฐกิจโลก
7-4-2025
จีนเพิ่งออกมาตรการตอบโต้อย่างรุนแรงต่อการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ ด้วยการกำหนดภาษีนำเข้า 34% สำหรับสินค้าจากสหรัฐฯ พร้อมจำกัดการส่งออกแร่หายาก และคว่ำบาตรบริษัทอเมริกัน 11 แห่ง การตอบโต้อย่างฉับพลันและรุนแรงนี้เปรียบได้กับกลยุทธ์การชกของไมค์ ไทสัน ที่เริ่มต้นด้วยการต่อยหมัดขวาเข้าที่ลำตัวคู่ต่อสู้เพื่อทำให้เสียหลัก ก่อนจะตามด้วยอัปเปอร์คัตเข้าที่คางเพื่อน็อกเอาต์
การตัดสินใจของจีนที่จะตอบโต้อย่างรวดเร็วและรุนแรงแตกต่างจากประเทศอื่นๆ ที่กำลังพยายามเจรจากับทำเนียบขาวเพื่อลดหรือยกเลิกภาษีนำเข้า เช่น เวียดนาม หากจีนเพียงแค่รอดูท่าทีเหมือนประเทศอื่นๆ เศรษฐกิจขนาดเล็กหลายแห่งอาจยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ทำให้จีนต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบาก: จะยอมตามหรือเสี่ยงถูกโดดเดี่ยว
ด้วยการออกมาตรการตอบโต้ก่อนและด้วยความเข้มแข็ง จีนไม่เพียงแต่ส่งสัญญาณว่าไม่ยอมรับเงื่อนไขของทรัมป์ แต่ยังช่วยเสริมตำแหน่งการเจรจาของประเทศอื่นๆ ด้วย เศรษฐกิจขนาดเล็กและแม้แต่สหภาพยุโรปสามารถมั่นใจได้ว่าจีนจะไม่ตัดราคาพวกเขาในการเจรจา ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การตอบโต้ด้วยภาษีเป็นเพียงครึ่งแรกของกลยุทธ์ที่อาจเป็นไปได้ ในบทความวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจ นักวิเคราะห์ชี้ว่าจีนมีทางเลือก 2 แนวทางที่สามารถเป็น "อัปเปอร์คัต" ตามหลังมาตรการภาษี:
จีนสามารถเปลี่ยนทิศทางสินค้าที่เคยส่งออกไปยังสหรัฐฯ ให้หันมาตอบสนองความต้องการภายในประเทศแทน ในปี 2024 จีนและฮ่องกงส่งออกสินค้ามูลค่ากว่า 477,000 ล้านดอลลาร์ไปยังสหรัฐฯ โดยมีการขนส่งสินค้าอีกมูลค่า 100,000-200,000 ล้านดอลลาร์ผ่านประเทศที่สาม เช่น เวียดนามและเม็กซิโก
ประเด็นสำคัญคือ จีนมีประชากร 500 ล้านคนที่บริโภคในระดับประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้จีนเป็นตลาดรถยนต์และสินค้าหรูที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีอีก 900 ล้านคนที่กำลังจะยกระดับการบริโภคสู่มาตรฐานโลกในอีก 20 ปีข้างหน้า
การปรับเปลี่ยนโรงงานที่เคยผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ ให้ผลิตสินค้าสำหรับตลาดในประเทศย่อมทำได้ง่ายกว่าการที่สหรัฐฯ จะต้องสร้างโรงงานและพัฒนากำลังการผลิตขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น จีนเป็นผู้ผลิตเรือเบสรายใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ตลาดเรือเบสนอกอเมริกาแทบไม่มี แต่การปรับโรงงานเหล่านี้ให้ผลิตสินค้าอื่นที่มีความต้องการในจีน เช่น สกู๊ตเตอร์ เจ็ตสกี หรือยานพาหนะอื่นๆ จะทำได้ง่ายกว่าที่สหรัฐฯ จะสร้างโรงงานผลิตเรือเบสขึ้นมาใหม่
แนวทางที่สอง: เร่งโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) อีกทางเลือกหนึ่งคือการเร่งลงทุนในโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง เพื่อสร้างสินทรัพย์ชุดใหม่แทนที่สินทรัพย์อเมริกัน จีนได้ลงทุนไปแล้ว 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ในโครงการนี้ แม้ว่าจะชะลอตัวลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
BRI มีเป้าหมายแก้ไขความผิดปกติทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า Lucas Paradox ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เงินทุนไหลจากประเทศกำลังพัฒนาไปยังประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ แทนที่จะเป็นทิศทางตรงกันข้าม โครงการนี้มุ่งให้เงินทุนจากจีนไหลไปยังประเทศกำลังพัฒนาเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
แม้ว่าโครงการ BRI จะเผชิญกับความท้าทายหลังการระบาดของโควิด-19 ทำให้ต้องปรับโครงสร้างเงินกู้หลายโครงการ แต่ด้วยการส่งออกที่เพิ่มขึ้นของจีนและการบูรณาการทางเศรษฐกิจกับประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก การฟื้นฟูโครงการนี้อาจเป็นทางออกสำหรับสินค้าที่เคยส่งไปยังสหรัฐฯ
ความเป็นไปได้ทางการเงิน ถึงแม้จะมีข้อกังวลเกี่ยวกับระดับหนี้ของจีนที่มีการรายงานว่าสูงถึง 300% ของ GDP แต่บทความนี้ชี้ว่าตัวเลขนี้อาจเป็นการประเมินที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากจีนมีวิธีการคำนวณ GDP ที่แตกต่างจากประเทศตะวันตก ทำให้อัตราส่วนหนี้ต่อ GDP ที่แท้จริงอาจอยู่ที่ประมาณ 150% หรือต่ำกว่า ซึ่งบ่งชี้ว่าจีนยังมีพื้นที่ทางการเงินเพียงพอสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่
*ผลกระทบระยะยาว*หากจีนประสบความสำเร็จในการผสานสองกลยุทธ์นี้ ภาษีนำเข้าของทรัมป์อาจกลายเป็นความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ที่ส่งผลร้ายแรงกว่าการถอนตัวของสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ด้วยซ้ำ จีนจะไม่เพียงสามารถสร้างระบบการค้าโลกที่ตนเป็นผู้นำ แต่ยังทำให้สหรัฐฯ ถูกแยกออกจากระบบนั้นด้วย
โดยสรุป การตอบโต้ด้วยภาษี 34% ของจีนเปรียบเสมือนหมัดแรกของไมค์ ไทสัน แต่คำถามสำคัญคือ จีนจะตามด้วยมาตรการกระตุ้นการบริโภคขนาดใหญ่ซึ่งเป็นเสมือนอัปเปอร์คัตเพื่อปิดฉากการต่อสู้หรือไม่ หากทำได้สำเร็จ นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของโครงสร้างการค้าและเศรษฐกิจโลก
---
IMCT NEWS
ที่มา https://asiatimes.com/2025/04/chinas-tariffs-as-a-mike-tyson-knockout-punch-for-america/