.

คลองกระ: ความฝันอันยาวนาน 3 ศตวรรษของไทยที่ยังห่างไกลความเป็นจริง
17-3-2025
เส้นทางเดินเรือที่เปลี่ยนโลก! เจาะลึกความเป็นไปได้และผลกระทบของคลองกระต่อภูมิรัฐศาสตร์อาเซียน"
Geopoliticalmonitor นำเสนอบทความเชิงวิเคราะห์เกี่ยวกับ คลองกระ ประเทศไทยว่า แนวคิดเรื่องคลองกระเป็นประเด็นถกเถียงมาหลายศตวรรษ ด้วยคำมั่นว่าเส้นทางเชื่อมทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะปฏิวัติการเดินเรือและปรับเปลี่ยนภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค แม้โครงการนี้จะไม่เคยประสบความสำเร็จ แต่ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นทำให้ยังคงอยู่ในการพูดคุยเชิงยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงอิทธิพลที่ขยายตัวของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI)
ประวัติศาสตร์ความคิดเรื่องคลองกระย้อนกลับไปถึงปี 2220 (1677) เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงมอบหมายให้วิศวกรชาวฝรั่งเศส เดอ ลามาร์ สำรวจคอคอดกระเพื่อความเป็นไปได้ในการขุดคลอง แต่พบว่าภูมิประเทศที่เป็นภูเขา ป่าทึบ และข้อจำกัดทางเทคโนโลยีในยุคนั้นทำให้โครงการไม่สามารถเป็นไปได้
ในศตวรรษที่ 19 แนวคิดนี้กลับมาอีกครั้งเมื่อมหาอำนาจยุโรปขยายอิทธิพลในภูมิภาค อังกฤษซึ่งควบคุมเส้นทางการค้าผ่านสิงคโปร์และช่องแคบมะละกามองว่าเส้นทางเดินเรือทางเลือกน่าสงสัย เนื่องจากอาจลดความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของสิงคโปร์ ขณะที่ฝรั่งเศสมองว่าคลองกระจะเสริมสร้างสถานะในอินโดจีน แต่รัฐบาลสยามต่อต้านการมีส่วนร่วมของทั้งสองประเทศอย่างมีกลยุทธ์
คลองกระได้รับความสนใจอีกครั้งในปี 2515 (1972) เมื่อบริษัทอเมริกัน Tippetts-Abbett-McCarthy-Stratton (TAMS) เสนอให้สร้างคลองยาว 102 กม. เชื่อมสตูลกับสงขลา เพื่อบรรเทาความแออัดในช่องแคบมะละกา แต่รัฐบาลไทยปฏิเสธเนื่องจากค่าใช้จ่ายสูงถึง 5.6 พันล้านดอลลาร์ และใช้เวลาก่อสร้าง 10-12 ปี รวมถึงความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงในภูมิภาค
เมื่อไม่นานมานี้ จีนแสดงความสนใจฟื้นโครงการเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมทางทะเล ในปี 2558 มีการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างหน่วยงานเอกชนจีนและไทย แต่รัฐบาลทั้งสองถอนตัวอย่างรวดเร็ว อาจเนื่องจากความอ่อนไหวทางการเมืองและการคัดค้านจากสิงคโปร์และอินเดีย ณ ปี 2568 ไทยเลือกที่จะมุ่งเน้นโครงการสะพานทางบกมูลค่า 28,000 ล้านดอลลาร์แทน ซึ่งออกแบบให้อำนวยความสะดวกการขนส่งสินค้าระหว่างอ่าวไทยและทะเลอันดามัน โดยไม่ต้องเผชิญความท้าทายทางการเมืองและสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากคลอง
หากสร้างคลองกระ จะเป็นทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์แทนช่องแคบมะละกา ลดระยะทางการเดินเรือประมาณ 1,200 ไมล์ทะเล ประหยัดค่าเชื้อเพลิง ลดเวลาขนส่ง และบรรเทาความแออัดในช่องแคบมะละกาซึ่งปัจจุบันรองรับเรือเกือบ 94,000 ลำต่อปี
สำหรับจีน คลองกระจะแก้ "ปัญหามะละกา" หรือความเสี่ยงที่เส้นทางการค้าทางทะเลอาจถูกปิดกั้นโดยกองทัพเรือคู่แข่ง โดยเฉพาะสหรัฐฯ ปัจจุบัน การนำเข้าน้ำมันของจีนประมาณ 80% ผ่านช่องแคบมะละกา คลองที่อยู่ภายใต้อิทธิพลจีนจะช่วยให้ปักกิ่งควบคุมห่วงโซ่อุปทานและความมั่นคงทางทะเลได้ดีขึ้น เพิ่มความยืดหยุ่นในการปฏิบัติการและความสามารถในการปกป้องเส้นทางเดินเรือสำคัญ
สหรัฐฯ และพันธมิตร โดยเฉพาะสิงคโปร์และอินเดีย คัดค้านโครงการนี้ด้วยเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์ คลองกระอาจลดความสำคัญของสิงคโปร์ซึ่งพึ่งพารายได้จากค่าธรรมเนียมการขนส่งและการอำนวยความสะดวกทางการค้า อินเดียกังวลว่าคลองจะเสริมอิทธิพลของจีนในมหาสมุทรอินเดีย วอชิงตันจึงสนับสนุนโครงการสะพานบกของไทยซึ่งเป็นเส้นทางการค้าทางเลือกโดยไม่เอื้อประโยชน์โดยตรงต่อจีน
สำหรับไทย คลองกระมีทั้งโอกาสและความท้าทาย ในด้านเศรษฐกิจ อาจเปลี่ยนประเทศให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์สำคัญ สร้างรายได้มหาศาลจากค่าธรรมเนียมการขนส่งและบริการที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ด้านเสถียรภาพ คลองอาจแบ่งแยกประเทศทางภูมิศาสตร์ ส่งผลให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้แข็งแกร่งขึ้น ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการควบคุมจากต่างประเทศโดยเฉพาะหากจีนมีบทบาทสำคัญในการจัดหาเงินทุนและก่อสร้าง
นอกจากนี้ ค่าก่อสร้างล่าสุดพุ่งสูงถึง 30,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้ความเป็นไปได้ทางการเงินเป็นอุปสรรคสำคัญ ยังมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการขุดลอกขนาดใหญ่ ความเสี่ยงน้ำมันรั่วไหล และการเปลี่ยนแปลงกระแสน้ำที่อาจส่งผลต่อระบบนิเวศและแม้แต่สภาพอากาศในระยะยาว
ด้วยความท้าทายเหล่านี้ รัฐบาลไทยยังคงระมัดระวัง เลือกมุ่งเน้นการขยายท่าเรือแหลมฉบังและมาบตาพุด รวมถึงโครงการสะพานเชื่อมแผ่นดินที่ช่วยอำนวยความสะดวกการขนส่งสินค้าระหว่างอ่าวไทยและทะเลอันดามัน โดยรักษาความสามัคคีและลดความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.geopoliticalmonitor.com/kra-canal-the-impossible-dream-of-southeast-asia-shipping/