คลื่นการเลิกจ้างของบริษัยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ
คลื่นการเลิกจ้างของบริษัยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ สัญญาณเตือนภัยตลาดแรงงาน ผู้ประกอบการ 'หันมาปกป้องกำไร'
4-11-2025
Bloomberg รายงานว่า คลื่นการปลดพนักงานในสหรัฐฯ: สัญญาณเตือนภัยตลาดแรงงานและจุดสิ้นสุดของการ 'กักตุนแรงงาน' ปรากฏการณ์ "การกักตุนแรงงาน" (labor hoarding) ที่ทำให้บรรดานายจ้างในสหรัฐฯ ยึดพนักงานไว้แน่นตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา กำลังจะสิ้นสุดลงอย่างชัดเจน ซึ่งสร้างความกังวลให้กับนักเศรษฐศาสตร์ว่า การปรับลดกำลังคนครั้งใหญ่ขององค์กรหลายแห่ง อาจเป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับตลาดงาน
บริษัทขนาดใหญ่ต่าง ๆ เช่น Starbucks, Target และ Amazon ได้ประกาศลดตำแหน่งงานอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้ ซึ่งจากรายงานของบริษัทจัดหางาน Challenger, Gray & Christmas ระบุว่า ยอดรวมการปลดพนักงานในสหรัฐฯ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนกันยายน อยู่ที่เกือบ 950,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นยอดรวมรายปีที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2020
นักเศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ว่า ขนาดและความรวดเร็วของการปลดพนักงาน บ่งชี้ว่าผู้บริหารกำลัง "หมดความกลัวในการไล่ออก" โดยได้รับแรงสนับสนุนจากความก้าวหน้าของ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติ (automation) ซึ่งแทนที่จะกักตุนพนักงานไว้ บริษัทต่าง ๆ เลือกที่จะลดต้นทุนแรงงานเพื่อปกป้องผลกำไร
การเปลี่ยนผ่านจาก 'จ้างน้อย-ไล่ออกน้อย' สู่ยุค 'ไล่ออก'
ก่อนหน้านี้ ตลาดแรงงานสหรัฐฯ เคยอยู่ในภาวะที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า เศรษฐกิจ "จ้างงานน้อย-ไล่ออกน้อย" (low hire, low fire) โดยบริษัทส่วนใหญ่ต่างลังเลที่จะปลดพนักงาน แม้จะมีการชะลอการจ้างงานใหม่ก็ตาม พฤติกรรมนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความยากลำบากในการสรรหาบุคลากรในช่วงการระบาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม นาย แดน นอร์ธ (Dan North) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Allianz Trade Americas กล่าวว่า "เราไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่จ้างน้อย-ไล่ออกน้อยอีกต่อไปแล้ว... เรากำลังอยู่ในภาวะปลดคน"
ตัวเลขการปลดพนักงานที่น่าตกใจ: หากไม่นับรวมปีแรกของการระบาดของโควิด-19 ยอดรวมการปลดพนักงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ถือว่า แซงหน้ายอดปลดพนักงานตลอดทั้งปีของทุกปีนับตั้งแต่ปี 2009
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบสูงสุด: ภาครัฐบาล เป็นภาคส่วนที่มียอดการปลดพนักงานสูงสุด โดยประกาศลดตำแหน่งงานไปเกือบ 300,000 ตำแหน่ง แต่ภาคส่วนอื่น ๆ รวมถึง เทคโนโลยี และ ค้าปลีก ก็ได้รับผลกระทบหนักเช่นกัน
แรงผลักดันจาก AI และการปกป้องกำไร
นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้จัดการกล้าตัดสินใจปลดคนมากขึ้นคือ: ความเชื่อมั่นใน AI และระบบอัตโนมัติ: การสำรวจผู้บริหารบน LinkedIn ในช่วงต้นปีพบว่า กว่า 60% เชื่อว่า AI จะเข้ามาทำงานบางอย่างที่เคยทำโดยพนักงานระดับเริ่มต้นได้ในที่สุด
การลดต้นทุนแรงงาน: แทนที่บริษัทขนาดใหญ่จะผลักภาระต้นทุนภาษีทั้งหมดไปยังผู้บริโภคผ่านราคาสินค้าที่สูงขึ้น พวกเขาส่วนใหญ่เลือกที่จะ ดูดซับค่าใช้จ่ายเหล่านั้นไว้และลดต้นทุนแรงงานลง เพื่อรักษาอัตรากำไร
สัญญาณเตือนในตลาดและทางเลือกของบริษัท
แม้จะมีคลื่นการปลดพนักงาน แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ยังไม่ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยอย่างเต็มที่ นาย เจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) กล่าวว่า เขาเห็นการ "ชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป" ในตลาดแรงงาน แต่ไม่ได้รุนแรงไปกว่านั้น
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์กำลังเฝ้าระวังสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความเสื่อมถอยที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายใหม่ (Initial Jobless Claims) อยู่ที่ 260,000 ราย ขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง (ปัจจุบันอยู่ที่ 220,000-240,000 ราย) และการปลดพนักงานเริ่มขยายวงไปยังภาคส่วนที่ไม่ใช่เทคโนโลยี เช่น การขนส่งและค้าปลีก
สำหรับบริษัทที่ยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับอนาคตข้างหน้า พวกเขากำลังหันไปพึ่งพา พนักงานชั่วคราว (temporary workers) มากกว่าปกติ โดยความต้องการบริการช่วยเหลือระยะสั้นเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ใช้เพื่อทดแทนพนักงานประจำระยะยาวที่ถูกปลดออกไปพร้อมกัน
สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตผู้คน อย่างเช่น จอห์น สติเกลอร์ (John Stigler) อดีตพนักงานติดตั้งโสตทัศนูปกรณ์ในชิคาโก ถูกผู้จัดการเลิกจ้างในเดือนตุลาคมทันทีหลังเสร็จสิ้นกะการทำงาน "เราไม่มีงานให้ทำแล้ว" คือคำพูดที่เขาจำได้ นายสติเกลอร์ ซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานกล่าวว่า โชคดีที่เขากำลังจะเกษียณในไม่ช้า แต่ก็ยังกังวลแทนเพื่อนร่วมงานวัย 30-40 ปี ที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในการหางานใหม่
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-11-03/the-low-hire-low-fire-us-economy-seems-to-be-over?srnd=homepage-americas