.

เจรจาหยุดยิงไทย- กัมพูชาเป็นแค่การเตะถ่วงเวลา
8-8-2025
อย่างที่คาดเดากันได้ว่าประชุมประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ระหว่างไทย - กัมพูชาที่ประเทศมาเลเซียเรื่องข้อตกลงหยุดยิงที่สิ้นสุดลงวันนี้ไม่ได้นำไปสู่บทสรุปอะไรที่ชัดเจนอันจะนำไปสู่เสถียรภาพที่บริเวณพรมแดน
ยังคงมีประเด็นที่ยังค้างคาใจกันอีกมาก แม้ว่าไทยกับกัมพูชาจะเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อระหว่างกัน ซึ่งโดยเนื้อหาแล้วไม่มีอะไรพิสดาร
การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย - กัมพูชา สมัยวิสามัญ ที่ประเทศมาเลเซีย 2 ชาติเห็นพร้องข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อระหว่างกัน
โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ยุติการใช้อาวุธทุกประเภท การโจมตีต่อพลเรือน เป้าหมายพลเรือน และเป้าหมายทางทหาร ในทุกพื้นที่และทุกกรณี
2. รักษาสถานะการวางกำลังในที่ตั้งปัจจุบัน สถานะตั้งแต่ 28 ก.ค.68 โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลัง และไม่มีการลาดตระเวนไปยังที่ตั้งของอีกฝ่าย
3. ไม่เพิ่มเติมกำลังตลอดแนวชายแดนไทย - กัมพูชา
4. ไม่กระทำการอันเป็นการยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียด การมีกิจกรรมทางทหารเข้าไปยังดินแดน เขตน่านฟ้า หรือที่ตั้งของอีกฝ่าย ตามสถานะการหยุดยิง ตั้งแต่ 28 ก.ค.68 และไม่สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางทหารล้ำออกไปนอกขอบเขตของฝ่ายตน
5. ไม่ใช้กำลังต่อพลเรือน หรือเป้าหมายทางพลเรือนในทุกกรณี
6. การปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวา : การปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกจับกุมตัว การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในสถานพยาบาลของอีกฝ่าย โดยจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการรองรับของสถานพยาบาลแล้วแต่กรณี สำหรับทหารที่อยู่ในความควบคุมของอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รับการปล่อยตัวและส่งกลับประเทศ หลังจากยุติการใช้กำลังโดยสมบูรณ์ รวมทั้งอำนวยความสะดวกในการส่งคืนร่างผู้เสียชีวิตอย่างสมเกียรติโดยเร็ว และจัดการศพภายใต้สภาพที่ถูกสุขลักษณะและด้วยความเคารพ
7. กรณีมีความขัดแย้งกันด้วยอาวุธทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทั้งสองฝ่ายจะหารือกันในระดับปฏิบัติผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ เพื่อป้องกันการขยายตัวของสถานการณ์
8. เห็นชอบให้เพิ่มในเรื่องของการปฏิบัติดังนี้
8.1 ดำรงการติดต่อสื่อสารอย่างต่อเนื่องระหว่างหน่วยทหารในพื้นที่
8.2 จัดการประชุม RBC ภายใน 2 สัปดาห์นับจากการประชุม GBC ใน 7 ส.ค.68
8.3 ดำรงช่องทางการติดต่อสื่อสารโดยตรงระดับรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทั้งสองประเทศ
9. งดเว้นการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จหรือข่าวปลอม
ส่วนที่ 2 กลไกตรวจสอบการหยุดยิง
10. ทั้งสองฝ่ายต้องดำเนินการตามผลหารือเมื่อ 28 ก.ค.2568 ซึ่งรวมถึงการหยุดยิงและการมีคณะผู้สังเกตการณ์จากประเทศสมาชิกอาเซียน นำโดยมาเลเซีย
11. เห็นชอบให้ RBC ในแต่ละพื้นที่ ดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิง โดยมีโดยมีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน ซึ่งนำโดยมาเลเซียเป็นผู้ร่วมสังเกตการณ์ โดย RBC จะพบกันเป็นประจำ และส่งรายงานให้ GBC ตามสายการบังคับบัญชาของแต่ละฝ่าย
12. ในระหว่างการจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนที่มีมาเลเซียเป็นผู้นำ จะใช้กลไกคณะผู้สังเกตการณชั่วคราว ซึ่งประกอบด้วยผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารประเทศสมาชิกอาเซียน ประจำประเทศไทย และกัมพูชา ทำหน้าที่แทนเป็นการชั่วคราว
ส่วนที่ 3 การประชุม GBC
13. ให้จัดการประชุม GBC ในหนึ่งเดือนหลัง 7 ส.ค.68 (สถานที่จะตกลงกันภายหลัง) หรือมิเช่นนั้นการประชุม GBC วิสามัญ จะถูกจัดขึ้นเพื่อเจรจาการหยุดยิง
มีรายงานว่า ความจริงแล้วฝ่ายไทยมีการนำเสนอสองข้อที่เป็นเรื่องใหญ่คือ
1. ให้ฝ่ายกัมพูชากู้ทุ่นระเบิดที่บริเวณพรมแดน แล้วเอาไปทำลายท้ังหมด ทหารเขมรมีการเอาทุนระเบิดมาวางลึกเข้าไปในดินแดนไทย และแม้กระทั้งในดินแดนของตัวเองเป็นแนวยาวหลายจุดหลายพันหรืออาจเป็นหมื่นลูก เพื่อป้องกันไม่ให้ทหารไทยลาดตระเวณ หรือบุกเข้าไป การใช้ทุ่นระเบิดถือว่าผิดสินธิสัญญาระหว่างประเทศ และที่ผ่านมาทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดทำให้เสียขาและบาดเจ็บไปหลายนาย แต่ทางกัมพูชาไม่ยอมรับเงื่อนไขในเรื่องนี้
2. ให้ทะลายบ่อนกาสิโนและคอลล์เซ็นเตอร์ที่อยู่ที่พรมแดน แต่ปรากฎว่าทางกัมพูชาไม่ยอมรับเงื่อนไข ทำให้เรารู้เลยว่าท้ังกาสิโน คอล์เซนเตอร์ และธุรกิจเทาเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญในการสนับสนุนระบอบฮุนเซน
ฝ่ายไทยที่เจรจาที่มาเลย์เซียไม่ได้เสนอให้มีการยกเลิกMOU 43 และMOU44ในเรื่องการกำหนดเขตแดนบนบกและในทะล ซึ่งเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะว่าไปใช้แผนที่มาตรา1:200,000ที่ทางฮุนเซนกำหนดเพื่อที่จะกินดินแดนไทยเพิ่ม แทนที่จะใช้แผนที่มาตราส่วน1:50,000 ซึ่งเป็นที่ยอมรับในกติกาสากล
เรื่องนี้ถือว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ของรัฐบาลในอดีตที่ผ่านมาหลายสิบปีจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่ได้รับการแก้ไข ที่ไม่แก้ไขกันเพราะว่าโทนีน่าจะรู้เรื่องนี้ดีที่สุดตั้งแต่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในปี2538 จึงมีการดำเนินการเรื่อยมาในรัฐบาลต่อๆมาในลักษณะที่สร้างความคลุมเคลือในเรื่องเขตแดนในทะเลกับกัมพูชา จะได้แบ่งปันผลประโยชน์ที่แหล่งน้ำมันใกล้บริเวณเกาะกูดกันได้ง่ายสำหรับนายทุน หรือบริษัทน้ำมันข้ามชาติที่จะเข้ามาร่วมวง ระหว่างไทยกับกัมพูชา
หากแหล่งพลังงานเกาะกูดเป็นของประเทศไทยเจ้าเดียว จะทำให้กลุ่มทุนมีความยากลำบากในการเข้าร่วม และจะไม่ได้ผลประโยชน์ตอบแทนสุงสุด และนี้คือต้นเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งเรื่อยมาระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฮุนเซนได้ทำดีลกับบริษัทน้ำมันฝรั่งไปแล้ว และอาจจะได้รับเงินล่วงหน้าไปแล้ว และมีการแบ่งให้ฝ่ายไทย ท้ังนายทุนและนักการเมืองที่ได้ประโยชน์บางคน แต่ปรากฎว่าการแบ่งปันสัมปทานให้นายทุนบริษัทน้ำมันเข้ามาดำเนินการขุดเจาะไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะมีการคัดค้านMOU 43, MOU44สูงในบรรดาแนวร่วมประชาชนที่ต่อสู่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ
ด้วยเหตุนี้การประชุมคณะกรรมการชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาจะไม่มีวันที่จะตกลงกันได้ เพราะว่ายึดแผนที่คนละมาตรฐาน แม้ว่านักการเมืองฝ่ายไทยต้องการยอมฝ่ายกัมพูชาจะได้เดินหน้าในการให้สัมปฆทานแหล่งพลังงานที่เกาะกูดได้ แต่จะถูกคัดค้านอย่างรุนแรงจากการเมืองภายในประเทศไทย
จะตกลงกันเรื่องพรมแดนได้ต้องใช้แผนที่อัตราส่วน1:50,000 หรือกฎกติกาที่นานาชาติเขารับรองกันอย่างเดียว
ในขณะเดียวกัน การตั้งกองกำลังทหารท้ังฝ่ายไทยกับกัมพูชายังคงมีลักษณะที่เผชิญหน้ากันที่พรมแดน โดยอยู่ห่างกันไม่น่าจะเกิน100-200เมตร ซึ่งทำให้มีโอกาสที่จะมีความเข้าผิด สร้างสถานการณ์ หรือยิงตอบโต้กันไปมาได้ทุกเมื่อ โดยต่างฝ่ายจะอ้างว่าอีกฝ่ายละเมิดข้อตกลงหยุดยิงก่อน การเสริมทัพนับหมื่นนายที่บริเวณพรมแดนภายใต้คำสั่งของฮุนเซนสะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์ยังไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ และสามารถที่จะปะทุขึ้นมาใหม่ได้ทุกเมื่อ
กลางดึกของวันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กของ เตีย เซ็ยฮา รัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา เผยแพร่ข้อความและภาพที่ปะกับพลเรือเอกซามูเอล ปาปาโร ผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐฯ ประจำภาคพื้นอินโดแปซิฟิก (USINDOPACOM) และ เอดการ์ด คาแกน เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำมาเลเซีย ในมาเลเซีย เมื่อวานนี้ ระหว่างร่วมประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย -กัมพูชา (จีบีซี) กับฝ่ายไทย
รมว.กลาโหมของกัมพูชา กล่าวต่อว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ทั้ง 2 ราย โดยเน้นย้ำพันธสัญญาของอเมริกา ผ่านความช่วยเหลือในด้านแผนการทางทหาร ยุทโธปกรณ์ ระบบประจำการ ระบบเฝ้าระวังจากอวกาศและจากท้องฟ้า และเทคโนโลยีล้ำสมัยอื่นๆ
"แรงสนับสนุนนี้สะท้อนว่าสหรัฐฯพร้อมสนับสนุนสันติภาพที่ยั่งยืนอย่างแทัจริง" เซ็ยฮากล่าว
การพบปะหารือกันระหว่างเตีย เซ็ยฮา รัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา และพลเรือเอกซามูเอล ปาปาโร ผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐฯ ประจำภาคพื้นอินโดแปซิฟิก (USINDOPACOM) สะท้อนให้เห็นว่ากัมพูชาได้เข้าร่วมสนธิสัญญาอินโดแปซิฟิคกับสหรัฐไปแล้ว ซึ่งมีนโยบายปิดล้อมจีน และกัมพูชาต้องการให้สหรัฐช่วยกดดันไทยในเรื่องการเจรจาหยุดยิง อันนำไปสู่การขีดเส้นดินแดนทางทะเลเพื่อว่าทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฮุนเซน นายทุนฝรั่ง บริษัทน้ำมันข้ามชาติ นักการเมืองไทย นายทุนไทยได้ประโยชน์ร่วมกันในการตักตวงทรัพยาการพลังงานที่เกาะกูด
ในขณะเดียวกันความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาจะช่วยเปิดทางให้สหรัฐใช้เป็นข้ออ้างในการเข้ามาต้ังฐานทัพในทั้งสองประเทศเพื่อรักษาเสถียรภาพ แต่มีเป้าหมายใหญ่อยู่ที่การปิดล้อมจีน
By Thanong Khanthong