ขายสันติภาพ-ซื้อสงคราม ตะวันตกลดงบช่วยเหลือ-ทูต
ขายสันติภาพ-ซื้อสงคราม ตะวันตกลดงบช่วยเหลือ-ทูต อัดงบกลาโหมแรงสุดรอบ 30 ปี 'ส่อเปิดทางสงครามรอบใหม่'
18-11-2025
POLITICO รายงานเชิงวิเคราะห์ว่า การเพิ่มขึ้นของงบประมาณกลาโหมโลก กำลังเกิดขึ้นในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับแต่ยุคสงครามเย็น และทิศทางใหม่ที่ชาติอุตสาหกรรมตะวันตกกำลังหันหลังให้กับการทูตและงบช่วยเหลือต่างประเทศ กำลังสร้างความเสี่ยงใหม่ต่อความมั่นคงของโลก
ย้อนกลับไปปี 1958 แฮโรลด์ แม็กมิลแลน (Harold Macmillan) นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เคยกล่าวว่า “การเจรจาย่อมดีกว่าการทำสงคราม” (jaw, jaw is better than war, war) เขาสะท้อนบทเรียนทั้งจากสนามรบสงครามโลกครั้งที่ 1 และประสบการณ์สั่งสมช่วงวิกฤตการณ์นิวเคลียร์ เช่น Cuban Missile Crisis
จอห์น เอฟ. เคนเนดี (John F. Kennedy) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงวิกฤตดังกล่าวก็เข้าใจความโหดร้ายของสงครามและเห็นคุณค่าช่องทางการทูต สองบุคคลนี้คือตัวอย่างผู้นำที่สะท้อนว่าการเจรจาและการสร้างสัมพันธ์ทางการทูตสำคัญต่อการป้องกันหายนะ
อย่างไรก็ตาม แอนดรู มิตเชลล์ (Andrew Mitchell) อดีตรัฐมนตรีอังกฤษ กลับกังวลว่าสังคมโลกกำลังลืมบทเรียนสำคัญเหล่านี้ เขาตั้งข้อสังเกตว่าความทรงจำของสงครามโลกครั้งที่ 1 ถูกเลือนหายเมื่อเวลาผ่านไปเพียงชั่วอายุคน นำไปสู่ทฤษฎีที่ว่าความขัดแย้งใหญ่ระดับโลกมักเกิดราวทุก 85 ปี เพราะประสบการณ์ถูกลืม
แม้ความตึงเครียดจะชัดขึ้น แต่มิตเชลล์มองว่าผู้นำปัจจุบันกำลังหมางเมิน “พลังของการเจรจา” พฤติกรรมนี้ไม่ใช่แค่ในวาทกรรมแต่สะท้อนผ่านงบประมาณ—ตะวันตกกำลังลดงบ Soft Power อย่างเร่งรีบ ทั้งงบช่วยเหลือและการทูต ในขณะที่ทุ่มทรัพยากรใหม่อัดลงกองทัพ
ปี 2024 งบกลาโหมโลกเพิ่มขึ้น 9.4% แตะจุดสูงสุดประวัติการณ์ (ข้อมูลจาก Stockholm International Peace Research Institute) ในขณะเดียวกัน OECD เผยงบช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาตกลง 9% ในกลุ่มผู้บริจาครายใหญ่ พร้อมคาดการณ์ว่าปีถัดไปจะลดต่ออีก 9–17%
สำหรับครั้งแรกในรอบเกือบ 30 ปี ฝรั่งเศส เยอรมนี สหราชอาณาจักร สหรัฐฯ ต่างลดงบช่วยเหลืออย่างพร้อมเพรียง—ซึ่งปี 2025 จะเป็นแรกในประวัติศาสตร์ที่สี่ประเทศนี้ลดงบ ODA พร้อมกัน 2 ปี
การลดขนาดกำลังทูตก็เกิดขึ้นจริง กรณีสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) เป็นผู้นำร่อง ลดตำแหน่งงานในกระทรวงต่างประเทศอย่างมาก อย่างในอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ หรืออียู ก็ตัดงบและลดกำลังเจ้าหน้าที่ทูตพร้อมกัน
นักวิเคราะห์เตือน หากชาติตะวันตกหั่นงบ Soft Power เพื่อเสริมกำลังทหาร ประเทศคู่แข่งอย่างรัสเซีย (Russia), จีน (China), ตุรกี (Turkey) จะเข้ายึดช่องว่างทางอิทธิพลในแอฟริกาและเอเชียด้วยเครือข่ายทูตและยุทธศาสตร์ใหม่ๆ ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ ตุรกีขยายสถานทูตในแอฟริกาจาก 12 แห่ง (ปี 2002) เป็น 44 แห่ง (ปี 2022) รัสเซียและจีนก็เร่งรุดหน้าอย่างต่อเนื่อง
แนวโน้มนี้เสี่ยงสร้างโลกที่อันตรายขึ้น หากรัฐบาลต่างดำเนินกลยุทธ์ราวกับ “ซื้ออาวุธด้วยการขายสันติภาพ” เพราะเทียบสถิติแล้ว งบกลาโหมจีนโต 7% ระหว่างปี 2023–2024 รัสเซียพุ่ง 38% ด้านยุโรปและกลุ่ม NATO เพิ่งตกลงยกระดับใช้งบกองทัพให้แตะ 5% ของ GDP ภายในปี 2035 ซึ่งแรงกระเพื่อมนี้เร่งตัวตั้งแต่สงครามยูเครนปะทุ
ยังมีข้อถกเถียงว่า การเพิ่มงบกองทัพจะป้องกันศึกสงครามได้จริงหรือไม่ อูร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน (Ursula von der Leyen) ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ระบุว่านี่คือ “ยุคสันติภาพด้วยพลังหนักแน่น” ขณะที่ฝ่ายค้านเตือนว่าอาวุธล้นคลังยิ่งเพิ่มความเสี่ยงอุบัติศึก ด้านเกร็ก เคนเนดี (Greg Kennedy) ศาสตราจารย์นโยบาย King’s College London ย้ำว่าที่แท้ “รัฐบาลที่ตัดสินใจใช้กำลัง ต่างหากคือปัญหา”
โลกยุโรปจึงอัดงบกองทัพ แต่ตัดงบช่วยเหลือและทูต เพื่อตอบสนองความกังวลต่อรัสเซีย ขณะที่สหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์ประกาศลดงบ USAID กว่า 90% หั่นทุนช่วยเหลือจนผู้เชี่ยวชาญคาดอาจตัดโอกาสช่วยชีวิตกว่า 14 ล้านรายใน 5 ปี อดีตรัฐมนตรีหญิงอังกฤษ แอนเนลีซ ดอดส์ (Anneliese Dodds) ถึงกับลาออกและเตือนว่าการตัดงบเหล่านี้ “จะนำไปสู่ความอดอยากและล่มสลายศักดิ์ศรีภาพมนุษย์”
มาตรการลดงบช่วยเหลือครั้งใหญ่ในหลายประเทศยุโรป แปรไปสู่การเพิ่มงบกองทัพอย่างรวดเร็ว เช่น สวีเดนเพิ่มงบกลาโหม 18% ในสองปี ฝรั่งเศสเดินหน้าขึ้นงบกองทัพ แม้งบประมาณรัฐโดยรวมกำลังกดดันสูง ฟินแลนด์ก็ขึ้นงบทหาร/ลดงบความช่วยเหลือ
บางประเทศเช่นไอร์แลนด์ เดนมาร์ก ยืนหยัดเพิ่มหรือตรึงงบช่วยเหลือไว้ แต่ประเทศเหล่านี้ขนาดเศรษฐกิจเล็ก ไม่อาจทดแทน Soft Power เดิมของยุโรป
เทรนด์ “Easy target” นี้ไม่ได้หยุดแค่ที่งบช่วยเหลือ แต่ลามถึงการปิดสถานทูต-ลดกำลังเจ้าหน้าที่ สหรัฐฯ เพิ่งปลดพนักงานกระทรวงการต่างประเทศกว่าสองพันตำแหน่ง สถานทูตบางแห่งปล่อยว่างนานหลายเดือน กว่าหนึ่งในสามตำแหน่งทูตสหรัฐฯ ยังไร้ตัวผู้ได้รับการแต่งตั้ง
บริบทนี้เอง ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ต้องคุมงานหลายตำแหน่งพร้อมกัน ขาดบุคลากรสายอาชีพด้านทูต จนโดนวิจารณ์เชิงไม่ไว้วางใจในหมู่พันธมิตรยุโรป สำรองทูตบางคนกลับได้ตำแหน่งจากสายสัมพันธ์ส่วนตัว ไม่ใช่ฝีมือทูต
ยิ่งสายสัมพันธ์ผ่านราชการดั้งเดิมถดถอย ความหวั่นไหวในทวีปยุโรปก็เพิ่มขึ้น หลายประเทศตัดกำลังงานทูตมากถึง 15–25% อียูตัดงบคณะทูตลง 10 แห่ง เนเธอร์แลนด์, อังกฤษ เตรียมปิดสถานทูตหลายแห่ง
เจ้าหน้าที่อียูยอมรับในสาระว่าเทรนด์นี้เปลี่ยนลำดับความสำคัญจากการทูตไปเป็น “การคุมพรมแดนและกองทัพ” นักการทูตอาวุโสยุโรปเตือนเช่นกันว่า “ควรต้องกังวลกับแนวโน้มนี้” ขณะที่อดีตรัฐมนตรีมิตเชลล์ระบุว่า “บนเวทีโลก เวลาใดที่ระบบระหว่างประเทศสูญเสียพลัง เราจะเห็นความชาตินิยมแคบ-แข่งอาวุธคืนชีพ” และ Soft Power ถูกเมินไม่ต่างจากการมองข้ามด้านสำคัญของสมดุลอำนาจ
นักการทูตอาวุโสอังกฤษคิม ดาร์รอค (Kim Darroch) เน้นว่า “ตอบโจทย์วิกฤตโลกไม่ใช่แค่เรื่องอาวุธแต่ต้องผสานยุทธศาสตร์การทูตร่วมด้วย” ส่วนฮัดจา ลาฮบิบ (Hadja Lahbib) กรรมาธิการยุโรปด้านความช่วยเหลือ สรุปอย่างร้อนแรงว่า “ระบบช่วยเหลือกำลังสั่นคลอน นำไปสู่ความเปราะบางใหม่และคลื่นผู้อพยพที่อันตราย หากไม่ช่วยเหลือผู้ลำบากในที่ตั้ง พวกเขาจะต้องเคลื่อนย้าย—และความสิ้นหวังเหล่านั้นเสี่ยงนำไปสู่ความรุนแรงรอบใหม่”
งานศึกษาของไซเปรียน ฟาเบร (Cyprien Fabre) แห่ง OECD ตอกย้ำว่า ประเทศคู่ความสัมพันธ์จะจดจำว่าใครละทิ้งยามวิกฤต “ใครอยู่/ใครจากไป” ขณะที่ตุรกี จีน รัสเซียรุกเครือข่ายโลจิสติกส์ทูตทั่วแอฟริกาอย่างต่อเนื่อง ตะวันตกเผชิญความเสี่ยงที่อิทธิพลจะเปลี่ยนมือสู่รากฐานใหม่ของ “มหาอำนาจทางกองทัพ” แทนที่สันติภาพ
นักวิชาการอังกฤษสะท้อนปิดท้าย “Soft Power ไม่ได้นุ่มนวล—คุณจะเข้าใจความสำคัญก็ต่อเมื่อคุณสูญเสียมัน” นี่คือภาพจริงโลกหลังสงครามเย็นที่การขายสันติภาพเพื่อซื้อสงครามอาจสร้างรอยร้าวลึกกว่าที่คาดคิด
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.politico.eu/article/arms-race-cold-war-military-spending-us-white-house/
---