.

CIAมีบทบาทล้มระบอบการปกครองประชาธิปไตยของอิหร่านในปี 1953
20-6-2025
นับตั้งแต่อิสราเอลเริ่มการโจมตีอิหร่านอย่างต่อเนื่อง กระแสเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงระบอบปกครองในอิหร่านก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ในการพุ่งเป้าไปยังผู้นำสูงสุดของเตหะราน อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี
ชาวอิหร่านจำนวนมากมีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับการที่สหรัฐฯ เคยเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในประเทศของตนมาก่อน
เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น: แหล่งน้ำมัน: ในปี 1953 สหรัฐอเมริการ่วมมือในการก่อรัฐประหาร เพื่อโค่นล้มโมฮัมหมัด โมซัดเดค นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยของอิหร่าน
เขาเคยให้คำมั่นว่าจะทำให้แหล่งน้ำมันของประเทศตกอยู่ภายใต้การควบคุมของชาติ (nationalize) ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรที่พึ่งพาน้ำมันจากตะวันออกกลางอย่างสูง
ยุคสงครามเย็น: การเคลื่อนไหวเพื่อชาตินิยมนี้ได้รับความนิยมในหมู่ประชาชนชาวอิหร่าน และถูกมองว่าเป็นชัยชนะของสหภาพโซเวียตในขณะนั้น
เสริมอำนาจกษัตริย์: เป้าหมายของรัฐประหารคือการสนับสนุนให้พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี มีอำนาจในการปกครองอิหร่านต่อไป พร้อมกับแต่งตั้งนายพลฟาซลุลเลาะห์ ซาเฮดี ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่
รัฐประหาร: ก่อนการรัฐประหาร หน่วยข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (CIA) ร่วมกับหน่วยข่าวกรองลับของอังกฤษ (SIS) ได้ช่วยปลุกกระแสต่อต้านนายกรัฐมนตรีโมซัดเดคผ่านการโฆษณาชวนเชื่อ ในปี 1953 CIA และ SIS ได้รวบรวมกลุ่มที่สนับสนุนพระเจ้าชาห์ และจัดการประท้วงขนาดใหญ่ต่อต้านโมซัดเดค ซึ่งกองทัพได้เข้าร่วมในเวลาต่อมา
เงินจากสหรัฐฯ: เพื่อสร้างเสถียรภาพให้แก่พลเอกฟาซลุลเลาะห์ ซาเฮดี นายกรัฐมนตรีคนใหม่ เอกสารแสดงว่า CIA ได้ลอบจัดสรรเงินจำนวน 5,000,000 ดอลลาร์ภายในสองวันหลังจากที่เขาขึ้นสู่อำนาจ
การยอมรับของสหรัฐฯ: ในปี 2013 มีการเปิดเผยเอกสารลับของ CIA ซึ่งยืนยันบทบาทของหน่วยงานในปฏิบัติการรัฐประหารเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ แม้ว่าจะมีการรับรู้เรื่องนี้มาก่อน โดยอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามาเคยกล่าวยอมรับถึงบทบาทของสหรัฐฯ ในรัฐประหารครั้งนั้นเมื่อปี 2009
ผลย้อนกลับ: หลังจากโค่นล้มโมซัดเดค สหรัฐฯ ได้เพิ่มการสนับสนุนพระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวีให้ปกครองต่อ ความไม่พอใจต่อการแทรกแซงจากต่างชาติทำให้เกิดกระแสต่อต้านสหรัฐฯ อย่างรุนแรงในหมู่ชาวอิหร่าน ซึ่งยังคงส่งผลต่อความสัมพันธ์มาจนถึงปัจจุบัน
การปฏิวัติอิสลาม: พระเจ้าชาห์กลายเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐฯ แต่ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ชาวอิหร่านหลายล้านคนออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลของพระองค์ ซึ่งถูกมองว่าคอร์รัปชันและขาดความชอบธรรม ผู้ประท้วงสายโลกวิสัยต่อต้านการปกครองแบบเผด็จการ ในขณะที่ผู้ประท้วงสายอิสลามต่อต้านแนวทางการปฏิรูปตะวันตก
พระเจ้าชาห์ถูกโค่นล้มในปี 1979 จากการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของระบอบกษัตริย์ที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตก และนำไปสู่การสถาปนาสาธารณรัฐอิสลาม รวมถึงการปกครองโดยนักบวช
ที่มา CNN