.

ยุโรปเดินเกมสร้าง “ขั้วที่สาม” ในอินโด-แปซิฟิก ท้าทายดุลอำนาจสหรัฐฯ-จีน
13-6-2025
Asia Times รายงานว่า ในการประชุม Shangri-La Dialogue 2025 ที่สิงคโปร์ ผู้นำยุโรปได้แสดงท่าทีชัดเจนว่าต้องการยกระดับบทบาทในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เพื่อเป็น “ขั้วที่สาม” ท่ามกลางการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง เรียกร้องให้เกิด “ความสมดุลเชิงยุทธศาสตร์” ในเอเชีย ขณะที่คาจา คัลลาส รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เน้นย้ำว่า “ยุโรปคือหุ้นส่วน ไม่ใช่อำนาจเหนือ” เจ้าหน้าที่จากเยอรมนี สวีเดน และฟินแลนด์ต่างสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยเสนอว่ายุโรปควรเป็นเสาหลักที่สามที่ช่วยสร้างเสถียรภาพระหว่างความแข็งกร้าวของจีนกับความไม่แน่นอนของสหรัฐฯ
### ข้อจำกัดทางยุทธศาสตร์ยังชัดเจน
แม้แนวคิดนี้จะได้รับความสนใจจากหลายฝ่าย แต่ขีดความสามารถทางยุทธศาสตร์ของยุโรปในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกยังมีข้อจำกัดอย่างมาก อินโด-แปซิฟิกถือเป็นเวทีสำคัญของโลก คิดเป็นกว่า 60% ของการค้าทางทะเล และเป็นจุดเสี่ยงสูงทั้งทะเลจีนใต้ ทะเลจีนตะวันออก และช่องแคบไต้หวัน
จีนมีกองทัพเรือใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2025 ด้วยเรือรบ 355 ลำ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 440 ลำในปี 2030 ขณะที่สหรัฐฯ แม้ยังคงเหนือชั้นในด้านขนาดและศักยภาพโจมตี แต่กลับสร้างเรือรบได้เพียงปีละ 1.5 ลำ ขณะที่จีนสร้างได้อย่างน้อยปีละ 8 ลำ
สำหรับยุโรป มีเพียงฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และอิตาลีเท่านั้นที่มีเรือบรรทุกเครื่องบิน โดยแต่ละประเทศยังเผชิญข้อจำกัดด้านจำนวนเครื่องบินรบและเรือคุ้มกัน ส่งผลให้ยุโรปส่งกำลังทางทะเลไปอินโด-แปซิฟิกน้อยกว่า 5% ของทรัพยากรที่มี
### สามแนวทางยุทธศาสตร์ของยุโรปในอินโด-แปซิฟิก
1. ผลักดันสมาชิกภาพเต็มใน ADMM-Plus**
ยุโรปสามารถเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนพลัส (ADMM-Plus) เพื่อมีบทบาทในความมั่นคงภูมิภาค ทั้งในด้านการตระหนักรู้ทางทะเล การต่อต้านโจรสลัด และไซเบอร์ซิเคียวริตี้ ซึ่งยุโรปมีความเชี่ยวชาญสูง โดย ADMM-Plus เป็นเวทีสำคัญที่ประกอบด้วยอาเซียนและคู่เจรจา 8 ประเทศ เช่น สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย รัสเซีย นิวซีแลนด์ และเกาหลีใต้
2. เชื่อมโยงอุตสาหกรรมป้องกันประเทศกับการพัฒนาในท้องถิ่น**
ยุโรปควรใช้ข้อตกลงด้านอาวุธเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยี สร้างงาน และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตัวอย่างเช่น การขายเครื่องบินกริพเพนของสวีเดนให้ไทยที่รวมถึงการฝึกอบรมและบำรุงรักษา หรือข้อตกลง Rafale ของฝรั่งเศสกับอินโดนีเซีย และสัญญาเรือดำน้ำของเยอรมนีกับสิงคโปร์ ที่ต่างก็มีองค์ประกอบของการมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมท้องถิ่น
3. ใช้กลไกเงินทุนและความร่วมมือข้ามภูมิภาค**
สหภาพยุโรปควรใช้กองทุนสันติภาพยุโรป (EPF) และโครงการ SAFE ที่มีงบประมาณ 150,000 ล้านยูโร ซึ่งได้รับการอนุมัติในปี 2025 เพื่อสนับสนุนการผลิตร่วม การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศร่วมกับอาเซียน โดยเฉพาะหากบูรณาการกับห่วงโซ่อุปทานของยุโรป
แม้ยุโรปจะยังไม่อาจเทียบชั้นอิทธิพลทางทหารของสหรัฐฯ หรือจีนในภูมิภาคนี้ แต่การสร้างบทบาท “ขั้วที่สาม” ผ่านความร่วมมือด้านความมั่นคง เทคโนโลยี และอุตสาหกรรม อาจทำให้ยุโรปกลายเป็นพันธมิตรยุทธศาสตร์ที่ยั่งยืนในอินโด-แปซิฟิก ซึ่งกำลังมองหาทางเลือกใหม่ นอกเหนือจากสองขั้วมหาอำนาจเดิม
หากยุโรปสามารถผนึกกำลังกับสถาบันระดับภูมิภาค เช่น ADMM-Plus และบูรณาการพันธมิตรในภูมิภาคเข้าสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมป้องกันประเทศได้สำเร็จ ก็จะยกระดับสถานะของยุโรปในอินโด-แปซิฟิกให้มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์อย่างแท้จริงในระยะยาว
---
IMCT NEWS
ที่มา https://asiatimes.com/2025/06/forging-a-european-third-pole-in-the-indo-pacific/