เหตุใดจีน รัสเซีย แม้อิสราเอล ต้านทานแรงกดดันได้

เหตุใดจีน รัสเซีย และแม้แต่อิสราเอลจึงต้านทานแรงกดดันภายนอกได้ — และความหมายต่อการทูตตะวันตกคืออะไร
21-5-2025
มีปัจจัยเชิงยุทธศาสตร์หลายประการที่อธิบายได้ว่า เหตุใดสหรัฐฯ จึงมีแนวโน้มจะแพ้ในสงครามการค้ากับจีน ทำไมพันธมิตรตะวันตกจึงไม่สามารถเอาชนะรัสเซียในยูเครนได้ และเหตุใดแรงกดดันจากภายนอกจึงไม่น่าจะหยุดยั้งการกระทำโหดร้ายของอิสราเอล เว้นเสียแต่ว่าสหรัฐฯ จะถอนการสนับสนุนอย่างจริงจัง เรามาดูแต่ละปัจจัยกันอย่างละเอียด
อธิปไตยสำคัญกว่าการตัดสินใจแบบกลุ่ม
แม้ทุกประเทศจะมีอำนาจอธิปไตยในทางทฤษฎี แต่ในเวทีระหว่างประเทศ ความสามารถในการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดตามลำพังมีน้ำหนักมากกว่าการตัดสินใจแบบกลุ่มเสมอ
โดยธรรมชาติแล้ว พันธมิตรระหว่างประเทศมักขาดความเด็ดขาด เพราะต้องกลับไปพิจารณาผลประโยชน์ภายในประเทศเป็นลำดับแรกเสมอ ไม่ว่าคำพูดจะดูแน่วแน่แค่ไหนก็ตาม เช่น อังกฤษอยากสนับสนุนยูเครนมากกว่านี้ แต่กลับเผชิญข้อจำกัดทางงบประมาณในขณะที่ประชาชนไม่พอใจการตัดสวัสดิการภายในประเทศ เยอรมนีก็เช่นกัน แม้จะคลายข้อจำกัดด้านงบประมาณ แต่ก็ยังต้องให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานที่เสื่อมโทรม ขณะที่พรรคขวาจัดอย่าง AfD กำลังท้าทายฉันทามติทางการเมืองในประเทศ
ชาติอาหรับแม้จะกังวลกับการสังหารหมู่ในกาซา แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงทำสงครามใหญ่ที่อาจกระทบการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเด็นไต้หวันก็ยังไม่ใช่เรื่องที่มีฉันทามติแรงพอจะเผชิญหน้ากับจีนซึ่งมีกองทัพแข็งแกร่ง
ยูเครนเองแม้มีอธิปไตย แต่ยอมถอยบางส่วนเพื่อเข้าหาตะวันตกโดยหวังว่าพันธมิตรนาโต้จะให้การคุ้มครองได้มากกว่าการยืนหยัดเพียงลำพัง แต่สุดท้ายกลับพบว่านาโต้ไม่มีอธิปไตยแท้จริง เพราะสมาชิกต่างให้ความสำคัญกับปัญหาในประเทศของตนก่อนความมั่นคงของยูเครน
ในทางตรงข้าม ปาเลสไตน์และไต้หวันไม่มีอธิปไตยอย่างแท้จริง และการจะได้มาซึ่งอำนาจนั้นก็ขึ้นอยู่กับการยินยอมของอิสราเอลและจีน ซึ่งดูเป็นไปได้ยาก
สหภาพยุโรปก็เช่นกัน ไม่มีอธิปไตยของตนเอง แต่เป็นเพียงเวทีรวมของรัฐอธิปไตยที่มีผลประโยชน์ต่างกัน จึงยากที่จะมีบทบาทสำคัญในเวทีโลก
สหรัฐฯ มีอธิปไตยเต็มที่ และภายใต้การนำของทรัมป์ก็ใช้มันเพื่อไล่ตามเป้าหมายภายในประเทศโดยตรง ลดบทบาทการแทรกแซงภายนอก กลายเป็นการเปลี่ยนแนวทางนโยบายต่างประเทศของยุคที่ผ่านมา
ขณะที่จีน รัสเซีย และอิสราเอล กลับมี “เสรีภาพเชิงอธิปไตย” มากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีประเทศใดกล้าเผชิญหน้าทางทหารกับพวกเขาโดยลำพัง ผลที่ตามมาคือ สงครามโดยตรงถูกแทนที่ด้วยสงครามตัวแทน การสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธอย่างฮามาสและฮิซบุลเลาะห์ และการใช้เครื่องมือเศรษฐกิจหรือข่าวสารเพื่อกดดัน ซึ่งหลายครั้งก็ย้อนกลับมาทำลายตนเอง
ทุนสำรองต่างประเทศ คือหัวใจสำคัญ
จีน รัสเซีย และอิสราเอล ล้วนมีทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวนมาก ทำให้สามารถรับมือกับแรงกดดันจากภายนอก รวมถึงช่วงสงครามหรือแรงกดดันทางการทูตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รัสเซีย แม้จะถูกคว่ำบาตรอย่างหนัก แต่สามารถใช้ทุนสำรองรักษาเสถียรภาพของเงินรูเบิลและสนับสนุนงบกลาโหมได้อย่างต่อเนื่อง แม้สหรัฐฯ จะอายัดเงินสำรองของรัสเซียกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ แต่รัสเซียยังมีจำนวนใกล้เคียงกันอยู่ในมือ
อิสราเอล แม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่ก็ถือครองทุนสำรองในระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ คิดเป็นมากกว่า 40% ของ GDP
จีนถือครองทุนสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในโลก มากกว่า 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 20% ของ GDP ซึ่งช่วยเสริมอำนาจทางเศรษฐกิจและการทูต เช่น ผ่านโครงการ Belt and Road ที่ใช้เงินเหล่านี้เป็นกลไกขับเคลื่อน นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ทุนสำรองตอบโต้ทางการค้า เช่น การเก็บภาษีสหรัฐฯ หรือถอนการลงทุนที่ส่งผลต่อเสถียรภาพตลาดการเงินโลก
ในทางตรงข้าม สหรัฐฯ มีทุนสำรองต่ำมากเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ เป็นประเทศที่พึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติเป็นหลัก ไม่สามารถนำเงินทุนกลับเข้าประเทศเพื่อรับมือกับภาวะช็อกทางเศรษฐกิจได้เท่าจีน และหากเกิดวิกฤต เช่น การเทขายพันธบัตรรัฐบาล ก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรง
สหภาพยุโรปมีทุนสำรองรวมอยู่มาก แต่แยกเก็บในแต่ละประเทศสมาชิก ไม่สามารถนำมาใช้ปกป้องทั้งกลุ่มได้อย่างแท้จริง
การควบคุมแรงกดดันภายในประเทศคือปัจจัยชี้ขาด
รัฐบาลที่สามารถควบคุมแรงต่อต้านภายในประเทศได้ดีกว่า ย่อมมีความสามารถในการรับมือกับความขัดแย้งทางการค้าหรือการทหารได้ดีกว่า
รัสเซีย จีน และอิสราเอล แม้มีระบอบการเมืองแตกต่างกัน — จีนเป็นเผด็จการคอมมิวนิสต์ รัสเซียเป็นประชาธิปไตยแบบควบคุม และอิสราเอลเป็นประชาธิปไตยที่มีพรรคการเมืองหลากหลาย — แต่ทั้งสามประเทศสามารถดึงเอาอารมณ์ร่วมทางชาติพันธุ์หรือศาสนามาใช้สร้างความชอบธรรมในการใช้อำนาจได้ ซึ่งประเทศเสรีนิยมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมักไม่มีเครื่องมือนี้
จีนใช้แนวคิด “ชาติเดียว เชื้อชาติเดียว” ในการสร้างความสามัคคี และควบคุมความเห็นต่าง ตั้งแต่กรณีฮ่องกงจนถึงซินเจียง
รัสเซียใช้ประวัติศาสตร์การต้านทานการรุกรานจากเจงกิสข่าน นโปเลียน และฮิตเลอร์ เพื่อชูภาพลักษณ์แห่งการปกป้องประเทศ
อิสราเอลอ้างถึงศาสนายูดายและประวัติศาสตร์การถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงในกาซาและเวสต์แบงก์ แม้จะมีแรงต้านภายใน แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนท่าทีของรัฐบาล
ตรงกันข้าม ประเทศเสรีนิยมแบบตะวันตก ซึ่งมีความหลากหลายสูง มักไม่สามารถรับมือกับแรงต้านทางการเมืองภายในได้ดีนัก นโยบายต่างประเทศจึงต้องประนีประนอมกับความเห็นต่างจนขาดพลังในการตัดสินใจ
ผลต่อพันธมิตรตะวันตกคืออะไร?
พันธมิตรตะวันตกไม่สามารถมี “เสรีภาพเชิงอธิปไตย” ทุนสำรอง หรืออำนาจควบคุมแรงต้านภายในประเทศได้เท่าจีน รัสเซีย หรืออิสราเอล แม้บางประเทศจะมีกองทัพที่แข็งแกร่ง เช่น สหรัฐฯ แต่ก็ไม่สามารถใช้กำลังได้อย่างอิสระ เพราะถูกจำกัดด้วยข้อจำกัดทั้งสามข้างต้น
ดังนั้น แม้สหรัฐฯ จะมีอธิปไตย และทรัมป์พร้อมใช้มัน แต่ก็ไม่มีทุนสำรองหรือเสถียรภาพภายในพอจะชนะสงครามการค้าที่ยืดเยื้อกับจีนได้
กรณียูเครนก็ชัดเจนว่าตะวันตกไม่มีความเด็ดขาดพอจะเอาชนะรัสเซียได้ เว้นแต่จะเกิดวิกฤตภายในมอสโกอย่างรุนแรง ซึ่งดูไม่น่าเกิดขึ้นในเร็ววัน
ในกรณีอิสราเอล แม้จะมีทั้งอธิปไตย กองทัพ และทุนสำรอง แต่ระบบประชาธิปไตยที่เปิดกว้างกว่าก็ทำให้มีจุดอ่อนด้านแรงต้านภายใน อีกทั้งยังต้องพึ่งพาสหรัฐฯ อย่างมากในด้านการป้องกันตนเอง หากวันหนึ่งวอชิงตันถอนการสนับสนุน อิสราเอลจะเผชิญความเสี่ยงในทันที แม้ตอนนี้นโยบายสหรัฐฯ จะเริ่มเปลี่ยน แต่ก็ยังไม่ชัดเจนพอ ทำให้อิสราเอลยังคงสามารถเดินหน้าปฏิบัติการในกาซาได้อย่างเสรี
บทสรุปต่อท่าทีของตะวันตกที่มีต่อจีน รัสเซีย และอิสราเอล
ในกรณีจีนและรัสเซีย ตะวันตกควรมุ่งเน้นการอยู่ร่วมกันอย่างสันติมากกว่าการเผชิญหน้า เว้นแต่จะพร้อมเผชิญหน้ากับข้อจำกัดของตนเองอย่างแท้จริง
กับจีน ควรเปิดความสัมพันธ์ให้โปร่งใสมากขึ้น ลดความเสี่ยงการปะทะในทะเลจีนใต้ และยอมรับว่า จีนอาจใช้เวลาเล่นเกมระยะยาวเพื่อบรรลุเป้าหมายการรวมไต้หวัน ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ตะวันตกไม่สามารถหยุดยั้งได้
กับรัสเซีย ควรรับฟังความกังวลด้านความมั่นคงของรัสเซียต่อการขยายตัวของนาโต้ ยุติสงครามให้เร็วที่สุด และเริ่มกระบวนการฟื้นฟูยูเครน รวมถึงฟื้นความสัมพันธ์กับยุโรปในระยะยาว
กับอิสราเอล ควรหาทางออกทางการเมืองระดับภูมิภาคที่ทำให้ปาเลสไตน์ได้รับการยอมรับ โดยไม่ทำให้อิสราเอลรู้สึกถูกคุกคามจากเพื่อนบ้านหรือกลุ่มติดอาวุธ วิธีเดียวที่เป็นไปได้ คือ อิสราเอลต้องยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา — ซึ่งสหรัฐฯ ในฐานะผู้มีอำนาจต่อรองเพียงหนึ่งเดียว จะต้องใช้ทั้งแรงกดดันทางการเมืองและเศรษฐกิจ รวมถึงข่มขู่ว่าจะระงับการสนับสนุนทางทหารทั้งหมดอย่างจริงจัง
IMCT News
ที่มา https://strategic-culture.su/news/2025/05/20/why-china-russia-and-even-israel-prevail-against-external-pressure-and-what-this-means-for-western-foreign-policy/