.

ภาษีศุลกากรกลายเป็นประเด็นร้อนในวงการธุรกิจสหรัฐฯ ส่งผลกระทบทั่วทุกภาคส่วนธุรกิจ-ตลาดหุ้น
10-3-2025
นโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังสร้างความกังวลอย่างมากในวงการธุรกิจอเมริกัน โดยสังเกตได้จากการกล่าวถึงประเด็นนี้ในการประชุมรายงานผลประกอบการที่พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ข้อมูลจาก Bloomberg เผยว่า ในช่วงสามเดือนจนถึงวันที่ 5 มีนาคม มีการพูดถึงภาษีศุลกากรในการประชุมผลประกอบการถึง 384 ครั้ง ซึ่งนับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับในช่วงห้าปีที่ผ่านมาที่ไม่เคยมีการกล่าวถึงเกิน 100 ครั้งในช่วงเวลาเดียวกัน
ผลกระทบกว้างขวางทั่วทุกภาคธุรกิจ ทุกภาคส่วนของดัชนี S&P 500 มีการพูดถึงภาษีศุลกากรในการประชุมรายงานผลประกอบการ โดยภาคอุตสาหกรรมและสินค้าฟุ่มเฟือยสำหรับผู้บริโภคมีการกล่าวถึงมากที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่านโยบายภาษีนี้อาจส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ และตลาดหุ้น
ล่าสุด ทรัมป์ได้บังคับใช้ภาษีศุลกากร 25% สำหรับสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา เพิ่มภาษี 20% สำหรับสินค้าจากจีน ขู่จะเก็บภาษีจากสหภาพยุโรป และสั่งเก็บภาษี 25% สำหรับการนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากทุกประเทศทั่วโลก
ผลกระทบต่อกำไรและการคาดการณ์ตลาด Drew Pettit นักยุทธศาสตร์ด้านหุ้นจาก Citi คาดการณ์ว่าหากมีการบังคับใช้ภาษีศุลกากรตามที่ทรัมป์เสนอ อาจทำให้กำไรต่อหุ้นของดัชนี S&P 500 ลดลงประมาณ 3 ดอลลาร์ในทุกๆ สามเดือนที่ยังไม่มีการยกเลิกภาษี
"เราไม่รู้จริงๆ ว่าภาษีของทรัมป์จะมีผลบังคับใช้นานแค่ไหน เมื่อไม่มีความชัดเจน นักลงทุนจึงจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทำให้ตลาดมีความผันผวนสูง" Pettit กล่าว
ผลกระทบระดับบริษัท บางบริษัทได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายภาษีศุลกากรนี้ เมื่อทำเนียบขาวประกาศยกเว้นภาษีศุลกากรจากเม็กซิโกและแคนาดาเป็นเวลาหนึ่งเดือนสำหรับผู้ผลิตรถยนต์สหรัฐฯ อย่าง GM, Ford และ Stellantis ราคาหุ้นของทั้งสามบริษัทก็ฟื้นตัวขึ้นทันที
ในทางตรงกันข้าม ผู้บริหารจากหลายบริษัทแสดงความกังวลอย่างมาก:
- คอรี แบร์รี ซีอีโอของ Best Buy เปิดเผยว่า 55% ของสินค้าของบริษัทมีแหล่งที่มาจากจีน และอีก 20% มาจากเม็กซิโก ทำให้มี "ความเป็นไปได้สูงมาก" ที่ผู้บริโภคจะเจอราคาสินค้าที่สูงขึ้น
- จิม ลี ประธานเจ้าหน้าที่การเงินของ Target คาดว่าบริษัทจะเผชิญ "แรงกดดันด้านกำไรที่สูงเกินปกติ" ในไตรมาสปัจจุบัน เนื่องจาก "ความไม่แน่นอนของภาษีศุลกากร"
ผลกระทบต่อข้อมูลเศรษฐกิจและการคาดการณ์ผลกระทบของนโยบายภาษีศุลกากรยังสะท้อนในตัวเลขเศรษฐกิจ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตในเดือนกุมภาพันธ์ปรากฏว่าอ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ดัชนีราคาที่ผู้ผลิตจ่ายสำหรับวัตถุดิบพุ่งขึ้นสู่ระดับ 62.4 จากเดิม 54.9 ในเดือนก่อนหน้า นับเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่กรกฎาคม 2565
ทิโมธี ฟิโอเร ประธานสถาบันการจัดการอุปทาน อธิบายว่า "ประเด็นหลักตอนนี้คือเรื่องภาษีศุลกากร" โดยเตือนว่าการปรับขึ้นราคาจะส่งผลให้ธุรกิจลดคำสั่งซื้อลง และอาจกระทบแผนการจ้างงานในระยะต่อไป
"หากยังคงเดินหน้าตามแนวทางภาษีศุลกากรนี้ต่อไป ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบาก" ฟิโอเรกล่าวทิ้งท้าย
---
IMCT NEWS / Photo by: InsideEVs