.

วิกฤตซ้อนวิกฤต ผู้เชี่ยวชาญชี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเผชิญภาวะ ‘ฟองสบู่หนี้สิน’ สั่นคลอนทั้งภาครัฐและเอกชน
28-8-2025
พอดแคสต์ Midweek Memo ซึ่งดำเนินรายการโดย ไมค์ มาฮาร์รีย์ (Mike Maharrey) ได้วิเคราะห์สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยระบุว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังเผชิญกับ “ฟองสบู่หนี้สินขนาดมหึมา” ที่อาจระเบิดได้ทุกเมื่อ ซึ่งเป็นผลมาจากการพึ่งพาการกู้ยืมและใช้จ่ายที่ไม่มีวันสิ้นสุดของทั้งรัฐบาล ภาคธุรกิจ และผู้บริโภค
วิกฤตหนี้สินสาธารณะ: หนี้ท่วมจนเกินจะควบคุม
นายมาฮาร์รีย์ (Maharrey) ได้เริ่มต้นการวิเคราะห์ด้วยการพุ่งเป้าไปที่หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ซึ่งพุ่งทะลุ 37 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 1.35 พันล้านล้านบาท) ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา โดยใช้เวลาเพียง 265 วันเท่านั้นในการเพิ่มขึ้นจาก 36 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาแตะระดับ 37 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งที่ยังมีเพดานหนี้เป็นข้อจำกัด ทั้งนี้ จากรายงานของสำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) ที่เคยคาดการณ์ไว้ในปี 2020 ว่าหนี้สาธารณะจะแตะ 37 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2030 นั้นผิดพลาดอย่างมาก เพราะในความเป็นจริง หนี้สินได้เติบโตในอัตราแบบยกกำลังสองที่รวดเร็วกว่าที่คาดไว้มาก ซึ่งหากมองในบริบทที่กว้างขึ้น มูลค่า 37 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นั้นมากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีน, เยอรมนี, อินเดีย, ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร รวมกันทั้งหมด การเพิ่มขึ้นของหนี้สินนี้ไม่สามารถชะลอตัวลงได้ เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงใช้จ่ายเงินมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีความพยายาม “ตัดลด” การใช้จ่ายบางส่วนใน “ร่างกฎหมาย Big Beautiful Bill” แต่ก็ยังคงมีการเพิ่มการใช้จ่ายในด้านอื่นๆ อยู่ดี ทำให้หนี้สาธารณะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจะต้องมีการกู้ยืมเพิ่มเพื่อชดเชยงบประมาณที่ขาดดุลซึ่ง CBO คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 4.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในทศวรรษหน้า
นายมาฮาร์รีย์ (Maharrey) อธิบายว่า แม้ปัญหาหนี้สินจะดูใหญ่หลวง แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่สนใจ เพราะคิดว่าเมื่อยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นในตอนนี้ ก็จะไม่เกิดขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม หนี้สาธารณะที่สูงจะส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว และหากการจัดการทางการคลังที่ผิดพลาดดำเนินต่อไป ผู้คนจะหยุดให้เงินกู้แก่รัฐบาลในที่สุด ซึ่งดูเหมือนว่าจะเริ่มเกิดขึ้นแล้วจากความต้องการซื้อพันธบัตรของสหรัฐฯ ที่ลดลง ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหมายถึงต้นทุนการบริการหนี้ที่มหาศาลของรัฐบาลกลางจะสูงขึ้นตามไปด้วย นายมาฮาร์รีย์ (Maharrey) เชื่อว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวจะไม่เพียงพอ และท้ายที่สุดแล้ว ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะต้องเข้ามาแทรกแซงด้วยมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing หรือ QE) ซึ่งเป็นการสร้างเงินขึ้นมาเพื่อฉีดเข้าสู่ระบบการเงิน ส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อโดยปริยาย
วิกฤตหนี้สินภาคธุรกิจและผู้บริโภค: ภาระหนักจนแบกรับไม่ไหว
นอกจากหนี้ภาครัฐแล้ว หนี้สินภาคธุรกิจก็อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และธุรกิจต่างๆ ก็เริ่มทรุดตัวลงด้วยภาระที่หนักอึ้ง โดยการล้มละลายของบริษัทต่างๆ อยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี ในขณะที่หนี้สินผู้บริโภคก็อยู่ในจุดวิกฤตเช่นกัน ข้อมูลสินเชื่อผู้บริโภคในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่าชาวอเมริกันได้ใช้บัตรเครดิตจนถึงขีดจำกัดแล้ว และผู้บริโภคที่มีคะแนนเครดิตสูงก็เริ่มค้างชำระค่าบัตรเครดิตมากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความเครียดจากหนี้สินที่เพิ่มขึ้น นับตั้งแต่การระบาดของโรคโควิด-19 ชาวอเมริกันได้ใช้เงินออมจนหมดและหันไปพึ่งพาบัตรเครดิตเพื่อรับมือกับราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น แต่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา การกู้ยืมได้ชะลอตัวลง ซึ่งเป็นข่าวร้ายสำหรับเศรษฐกิจที่พึ่งพาการใช้จ่ายของผู้คน
วิกฤต Stagflation: ธนาคารกลางสหรัฐฯ อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ด้วยสถานการณ์ที่ทั้งรัฐบาล, ภาคธุรกิจ และประชาชนต่างอยู่ในภาวะ “หมดหน้าตัก” จึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกคนต่างต้องการให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม นายมาฮาร์รีย์ (Maharrey) ระบุว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก การลดอัตราดอกเบี้ยนั้นสมเหตุสมผลเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สิน แต่การคงอัตราดอกเบี้ยไว้หรือแม้แต่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็สมเหตุสมผลเช่นกันเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ นี่คือภาวะที่เรียกว่า Stagflation หรือภาวะเศรษฐกิจซบเซาแต่มีเงินเฟ้อสูง ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เครื่องมือที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มักใช้ในการควบคุมเศรษฐกิจสามารถจัดการได้เพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น นายมาฮาร์รีย์ (Maharrey) กล่าวว่าสาเหตุของสถานการณ์นี้คือการที่ธนาคารกลางตั้งอัตราดอกเบี้ยไว้ต่ำเป็นเวลานานหลายทศวรรษ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการกู้ยืมและทำให้ฟองสบู่หนี้สินนี้เติบโตขึ้น
นายมาฮาร์รีย์ (Maharrey) สรุปว่าประชาชนไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ด้วยการลงคะแนนเสียง และวิธีเดียวที่จะป้องกันตัวเองจากผลกระทบที่จะเกิดขึ้นคือการครอบครอง “เงินจริง” อย่างเช่นทองคำและเงิน
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.moneymetals.com/podcasts/2025/08/27/i-owe-i-owe-the-debt-bubble-004296