โลกในปี 2026
โลกในปี 2026
8-12-2025
นี่คือโลกของโดนัลด์ ทรัมป์—พวกเราก็แค่ใช้ชีวิตอยู่ในนั้น ผู้ทำลายกฎเกณฑ์ประจำทำเนียบขาวคือปัจจัยที่ทรงอิทธิพลที่สุดต่อเวทีโลกในปี 2025 และจะยังคงเป็นเช่นนั้นตราบใดที่เขายังอยู่ในตำแหน่ง วิธีการที่ทลายบรรทัดฐานของเขาทำให้เกิดความปั่นป่วนในบางด้าน (เช่น การค้า) แต่ก็สร้างผลสำเร็จทางการทูตในบางกรณี (เช่น ฉนวนกาซา) และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น (เช่น การใช้จ่ายด้านกลาโหมของยุโรป)
เมื่อ “ทรัมป์นาโด” หมุนแรงต่อเนื่องเข้าสู่ปี 2026—นี่คือสิบแนวโน้มและประเด็นที่ควรจับตาในปีหน้า
1. การครบรอบ 250 ปีของอเมริกา
คาดว่าจะได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของอเมริกาที่แตกต่างกันสุดขั้ว เมื่อรีพับลิกันและเดโมแครตอธิบายประเทศเดียวกันด้วยภาพที่ไม่อาจประสานกันได้ เพื่อทำเครื่องหมายวาระครบรอบ 250 ปีของการก่อตั้งประเทศ จากนั้นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจะออกเสียงตัดสินอนาคตของอเมริกาในการเลือกตั้งกลางเทอมเดือนพฤศจิกายนแต่ถึงแม้เดโมแครตจะยึดสภาผู้แทนราษฎรกลับมาได้ การปกครองของทรัมป์ด้วยการข่มขู่ มาตรการภาษี และคำสั่งฝ่ายบริหารก็จะยังดำเนินต่อไป
2. การลอยเคว้งทางภูมิรัฐศาสตร์
นักวิเคราะห์ด้านนโยบายต่างประเทศถกเถียงกันว่า โลกกำลังเข้าสู่สงครามเย็นครั้งใหม่อย่างแท้จริงหรือไม่—ระหว่างกลุ่มที่นำโดยอเมริกาและจีน หรือว่าทรัมป์จะสร้างข้อตกลงแบบแบ่ง “เขตอิทธิพล” ระหว่างอเมริกา รัสเซีย และจีน ซึ่งแต่ละฝ่ายสามารถทำตามใจชอบได้
แต่ทั้งสองอย่างอาจไม่เกิดขึ้น เพราะทรัมป์ชอบแนวทางแบบ “ธุรกรรม” ตามสัญชาตญาณ มากกว่ากรอบคิดภูมิรัฐศาสตร์ระดับใหญ่ระเบียบโลกแบบกฎกติกากลางที่เคยมีจะเสื่อมลงต่อไป แต่จะมี “พันธมิตรสมัครใจ” (coalitions of the willing) จับมือทำข้อตกลงใหม่ในด้านกลาโหม การค้า และสภาพภูมิอากาศ
3. สงครามหรือสันติภาพ? คำตอบคือ…ทั้งสองหากโชคดี สันติภาพอันเปราะบางในกาซาอาจคงอยู่ แต่ความขัดแย้งจะยังคงดำเนินต่อไปในยูเครน ซูดาน และเมียนมา
รัสเซียและจีนจะทดสอบความมุ่งมั่นของอเมริกาที่มีต่อพันธมิตรด้วยยุทธวิธี “พื้นที่สีเทา” ในยุโรปเหนือและทะเลจีนใต้ เมื่อเส้นแบ่งระหว่างสงครามและสันติภาพยิ่งพร่าเลือน ความตึงเครียดจะเพิ่มขึ้นในอาร์กติก ในวงโคจร บนพื้นทะเล และในโลกไซเบอร์
4. ปัญหาของยุโรป
ทั้งหมดนี้เป็นบททดสอบใหญ่สำหรับยุโรป ยุโรปต้องเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหม รักษาความสัมพันธ์กับอเมริกา กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ และจัดการกับการขาดดุลขนาดมหาศาล แม้จะเสี่ยงต่อการเพิ่มแรงสนับสนุนให้พรรคฝ่ายขวาจัด
ยุโรปยังต้องการเป็นผู้นำด้านการค้าเสรีและนโยบายสีเขียว แต่มันไม่สามารถทำทั้งหมดนี้พร้อมกันได้ การทุ่มใช้จ่ายด้านกลาโหมอาจกระตุ้นเศรษฐกิจได้—แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
5. โอกาสของจีน
จีนก็มีปัญหาของตัวเอง ทั้งภาวะเงินฝืด การเติบโตที่ชะลอตัว และกำลังการผลิตล้นเกิน แต่แนวทาง “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์เปิดโอกาสใหม่ให้จีนขยายอิทธิพลระดับโลก จีนจะนำเสนอตัวเองในฐานะ “พันธมิตรที่เชื่อถือได้มากกว่า” โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศโลกใต้ ซึ่งจีนกำลังลงนามข้อตกลงการค้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จีนก็ยินดีทำดีลเฉพาะกิจกับทรัมป์—ไม่ว่าจะเป็นเรื่องถั่วเหลืองหรือชิป ความท้าทายคือ ทำอย่างไรให้ความสัมพันธ์กับอเมริกาเป็นแบบ “ธุรกรรม” ไม่ใช่ “เผชิญหน้า”
6. จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจโลก
เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงในปี 2026 การเติบโตจะกระจุกในไม่กี่ประเทศ ขณะที่ประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยวัตถุดิบอย่างบราซิลและซาอุดีอาระเบียจะได้รับประโยชน์จากสินค้าโภคภัณฑ์ราคาแพง แต่ภาษีศุลกากรของทรัมป์ ความผันผวนของตลาดการเงิน และหนี้สินที่พุ่งสูงในหลายประเทศกำลังสร้างความเสี่ยงรอบด้าน หากเฟดและธนาคารกลางต่าง ๆ แก้เกมผิดพลาด เราอาจเห็น “ปีแห่งความปั่นป่วน” ในเศรษฐกิจโลก
7. พลังงานกำลังเปลี่ยนผ่าน—แต่ไม่ใช่แบบที่หลายคนหวัง
ราคาน้ำมันอาจพุ่งสูงขึ้นอีก เนื่องจากความไม่สงบในตะวันออกกลางและการหยุดชะงักทางการค้า ประเทศผู้ผลิตน้ำมันจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์มหาศาล
ด้านพลังงานสะอาด การติดตั้งแผงโซลาร์และแบตเตอรี่ยังคงเพิ่มขึ้นทั่วโลก แต่กำลังการผลิตล้นเกินของจีนกดดันผู้ผลิตในโลกตะวันตก ความตึงเครียดทางการค้ามีแนวโน้มจะยิ่งสูงขึ้น ขณะที่ประเทศต่าง ๆ ต้องการสนับสนุนอุตสาหกรรมสีเขียวของตน
8. ปัญญาประดิษฐ์เร่งความเร็ว
ปี 2026 จะเป็นปีที่ AI ยกระดับจาก “เครื่องมือ” ไปเป็น “โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ” ของเศรษฐกิจโลก ธุรกิจจะนำ AI ไปใช้ในงานทุกระดับ ตั้งแต่ฝ่ายกฎหมายไปจนถึงการผลิตขั้นสูง แต่ผลกระทบด้านลบก็จะก่อตัวขึ้นเช่นกัน—ทั้งการแพร่ข้อมูลเท็จ เทคโนโลยี deepfake การทดแทนแรงงานบางประเภท และการแข่งขันเชิงอาวุธด้าน AI ระหว่างประเทศ รัฐบาลต่าง ๆ จะผลักดันกฎระเบียบเข้มงวดขึ้น แต่ตามไม่ทันนวัตกรรม
9. การเมืองประชานิยมยังอยู่—และกำลังแพร่กระจาย
กระแสฝ่ายขวาประชานิยมจะยังคงบูมในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ หรืออิตาลี สาเหตุหลักคือค่าครองชีพสูง การอพยพเข้าเมือง และความไม่พอใจต่อชนชั้นนำ การเมืองแบบ “ตัวบุคคลนำ” (personality politics) จะเข้ามาแทนที่พรรคการเมืองดั้งเดิมในหลายประเทศ
ทรัมป์เป็นทั้งตัวเร่งและตัวแบบของปรากฏการณ์นี้
10. โลกที่ไม่มีผู้กำกับ
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ โลกกำลังขาดศูนย์กลางอำนาจที่สามารถกำกับระบบได้ สหรัฐฯ ไม่ต้องการบทบาทผู้ค้ำจุนระเบียบโลกแบบเดิมอีกต่อไปจีนก็ยังไม่พร้อมจะรับบทผู้นำอย่างเต็มตัว
ยุโรปแตกแยก เกาหลีใต้–ญี่ปุ่นกำลังกังวล รัสเซีย–อิหร่านกำลังท้าทาย
ผลลัพธ์คือ โลกหลายขั้วที่ไร้ทิศทาง ซึ่งหมายถึง ความเสี่ยงสูงขึ้น ความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น และความร่วมมือระดับโลกที่ลดลงในช่วงเวลาที่ต้องการมากที่สุด
โดย ทอม สแตนเดจ บรรณาธิการ The World Ahead 2026, The Economist