.

สหรัฐฯ ใช้พันธมิตรกว่า 10 ประเทศรวม ไต้หวัน-ญี่ปุ่น เป็นฐานสร้างนวัตกรรมทางทหาร 'เสริมกำลังสู้เทคโนโลยีอาวุธของจีน'
28-8-2025
THE FINANCIAL TIMES เปิดเผยว่า เพนตากอนเดินหน้าส่งเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีประจำพันธมิตร ต้านอำนาจทางทหารจีน หน่วยงานด้านนวัตกรรมของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (Defense Innovation Unit – DIU) เตรียมเดินหน้าส่งเจ้าหน้าที่ผู้ประสานงานประจำประเทศพันธมิตรหลายสิบแห่ง เพื่อเร่งสร้างเครือข่ายเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางทหาร ตอบโต้การเสริมกำลังและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอาวุธของจีน
ตามข้อมูลจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง แผนดังกล่าวรวมถึงการส่งเจ้าหน้าที่ไป ไต้หวัน (Taiwan) ภายในปีนี้ โดยมีเป้าหมายเร่งความร่วมมือด้านโดรนและเชื่อมโยงภาคเทคโนโลยีพลเรือนที่เป็นนวัตกรรมคู่ใช้ (dual-use technology) ขณะเดียวกันก็เตรียมประจำตำแหน่งเจ้าหน้าที่อีกคนที่ ญี่ปุ่น (Japan)
โฆษก DIU ระบุว่า “เรามีความตั้งใจจะวางเจ้าหน้าที่ประสานงานกับพันธมิตรและหุ้นส่วนทั่ว อินโด-แปซิฟิก ยุโรป และตะวันออกกลาง อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เกิดโอกาสความร่วมมือด้านนวัตกรรมตั้งแต่ระยะเริ่มต้น”
แผนนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการเสริมศักยภาพทางอาวุธของ จีน (China) ที่ถูกผู้นำทหารสหรัฐฯ ย้ำว่าเป็น “คู่แข่งสำคัญสูงสุด” โดยปัจจุบันจีนกำลังพัฒนาเทคโนโลยีอาวุธใหม่จำนวนมาก ครอบคลุมตั้งแต่ระบบอาวุธอวกาศ (space systems), กองทัพเรือ (naval systems) ไปจนถึงขีปนาวุธ (missile systems) ในขณะที่ฐานอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของสหรัฐฯ กำลังเผชิญปัญหากำลังการผลิต
ปี 2021 จีนทำให้เพนตากอนตื่นตัว เมื่อทดสอบยานอวกาศความเร็วเหนือเสียง (hypersonic manoeuvrable spacecraft) ที่สามารถปล่อยขีปนาวุธกลางอากาศได้ โดยในเวลานั้น พลเอกมาร์ก มิลลีย์ (Mark Milley) ประธานเสนาธิการร่วมของสหรัฐฯ เทียบว่าเป็น “เหตุการณ์ Sputnik Moment” คล้ายช่วงที่สหภาพโซเวียตชิงส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรก่อนสหรัฐฯ ในทศวรรษ 1950
ด้านกองทัพเรือจีน ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนเรือมากที่สุดในโลก ก็กำลังเติบโตเร็วกว่าสหรัฐฯ หลายเท่าตัว ด้วยอุตสาหกรรมต่อเรือพาณิชย์เชิงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่วอชิงตันไม่สามารถทัดเทียมได้
พลเอกแชนซ์ ซอลต์ซแมน (Chance Saltzman) หัวหน้ากองกำลังอวกาศสหรัฐฯ (US Space Force) ได้ออกมาเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอวกาศของจีนเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์ระบุว่าความคืบหน้าที่รวดเร็วของจีนเกิดจากการทุ่มทรัพยากรภาคอุตสาหกรรมมหาศาล และนโยบาย Military-Civil Fusion คือการหลอมรวมการพัฒนาเทคโนโลยีพลเรือนเข้ากับการใช้งานทางทหาร
ข้อมูลจาก Center for a New American Security (CNAS) ชี้ว่า ในยุคสงครามเย็นตอนต้น งบวิจัยและพัฒนาด้านกลาโหมของสหรัฐฯ คิดเป็น 1 ใน 3 ของโลก แต่เมื่อสิ้นทศวรรษที่ผ่านมา ตัวเลขดังกล่าวหดเหลือเพียง 3%
DIU ก่อตั้งในปี 2015 เพื่อแก้ปัญหานี้ โดยใช้ความร่วมมือภาคเอกชนและเทคโนโลยีคู่ใช้ เพื่อหาทางออกเชิงปฏิบัติให้กองทัพสหรัฐฯ และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลวอชิงตันสั่ง DIU ให้เร่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็น “หัวใจชี้ขาด” หากต้องทำสงครามกับมหาอำนาจ เช่น ระบบอัตโนมัติและโดรน
DIU เคยลงนามความร่วมมือกับพันธมิตรใน สิงคโปร์ (Singapore), ญี่ปุ่น (Japan) และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) แต่จนถึงขณะนี้ สหราชอาณาจักร (UK) เป็นประเทศเดียวที่ DIU มีการสลับเจ้าหน้าที่ประสานงานแบบถาวร (ตั้งแต่ตุลาคมปีก่อน)
บุคคลที่ใกล้ชิดกับแผนงานเปิดเผยว่า ภายในสิ้นปีนี้ สหรัฐฯ คาดว่าจะประจำตำแหน่งเจ้าหน้าที่ DIU ที่กรุงไทเป โดยประจำการที่ American Institute in Taiwan สถานทูตนอกระบบของสหรัฐฯในไต้หวัน โดยสร้างเครือข่ายกับอุตสาหกรรมโดรนและระบบนวัตกรรมพลเรือนด้านเทคโนโลยี
อีกแนวทางสำคัญคือการส่งเจ้าหน้าที่ร่วมงานกับรัฐบาลญี่ปุ่น แต่ยังไม่มีความเห็นตอบรับจาก Acquisition, Technology & Logistics Agency (ATLA) ของญี่ปุ่น
อย่างไรก็ดี เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ดัก เบ็ค (Doug Beck) หัวหน้า DIU ได้ประกาศลาออกกะทันหัน โดย เอมิล ไมเคิล (Emil Michael) ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีของเพนตากอน ขึ้นมารักษาการแทน แต่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงสหรัฐฯ ยืนยันว่าการเปลี่ยนตัวครั้งนี้ไม่กระทบโครงการเชื่อมโยงพันธมิตรแน่นอน
เจ้าหน้าที่จากพันธมิตรสหรัฐฯ 2 ประเทศ ระบุว่า ความคืบหน้าของ DIU ในการทำงานเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรมต่างประเทศครั้งนี้ จะถือเป็น “บททดสอบ” ว่าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) จริงจังกับการสร้างความร่วมมือมากแค่ไหน
เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงรายหนึ่งในเอเชียกล่าวว่า “ที่ผ่านมา สิ่งที่เราได้ยินจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ มีแต่คำขอเงินเพิ่ม หรือคำพูดว่าเราไม่น่าเชื่อถือ การมีเจ้าหน้าที่ DIU ประจำที่นี่จะแสดงถึงการยอมรับว่า เราจะบรรลุเป้าหมายได้ก็ต่อเมื่อร่วมมือไปด้วยกัน”
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.ft.com/content/1e713b6b-ebcd-4ad9-a2cd-b4e43182b2cb