'จีน-สหภาพยุโรป ไร้โอกาสรีเซ็ตความสัมพันธ์'

'จีน-สหภาพยุโรป ไร้โอกาสรีเซ็ตความสัมพันธ์' หลังประธาน EU โจมตีจีนหนักที่ G7 ชี้เป็นต้นเหตุปัญหาการค้าโลก
23-6-2025
หลังจากสัปดาห์แห่งสัญญาณบวกที่บ่งบอกถึงความเป็นไปได้ของการปรองดองทางการทูตกับจีน หรืออย่างน้อยการละลายความตึงเครียด เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน (Ursula von der Leyen) ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กลับเปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหันในที่ประชุมสุดยอด G7 ด้วยการโจมตีปักกิ่งอย่างรุนแรง โดยกล่าวถึง “รูปแบบการครอบงำ การพึ่งพา และการแบล็กเมล์” ที่จีนใช้กับคู่ค้าทางการค้า รวมทั้งสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา
ฟอน เดอร์ เลเยนกล่าวว่า “จีนแสดงให้เห็นเป็นส่วนใหญ่ว่าไม่เต็มใจที่จะอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของระบบระหว่างประเทศที่มีพื้นฐานจากกฎเกณฑ์” พร้อมเสริมว่า “ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เปิดตลาด จีนกลับมุ่งเน้นลดค่าคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาและอุดหนุนจำนวนมหาศาลเพื่อครอบงำการผลิตและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก นี่ไม่ใช่การแข่งขันในตลาด แต่เป็นการบิดเบือนตลาดด้วยเจตนา”
เธอยังระบุอย่างชัดเจนว่า “ปัญหาระบบการค้าระหว่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดเกิดจากการที่จีนเข้าร่วมองค์การการค้าโลก (WTO) ในปี 2001” ซึ่งการเข้าร่วมนี้ก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างมาก เพราะเปิดตลาดให้กับการส่งออกต้นทุนต่ำจำนวนมาก และเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์ “China shock” ที่ทำให้การจ้างงานในภาคการผลิตของสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ ลดลง
ฟอน เดอร์ เลเยนเตือนว่า “กำลังเกิด ‘China shock’ ครั้งใหม่” ขึ้นในขณะนี้
คำพูดของเธอเป็นการประณามอย่างไม่เกรงกลัวที่สะท้อนความไม่พอใจและความหงุดหงิดที่เพิ่มขึ้นของเธอ และเป็นการกลับสู่ท่าทีเหยี่ยวที่เธอเคยแสดงในวาระแรก ซึ่งเธอเคยส่งเสริมแนวคิด “การลดความเสี่ยง” (de-risking) เพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาที่เปราะบางต่อจีน
ทางฝั่งปักกิ่งตอบโต้คำวิจารณ์อย่างรุนแรง กัว เจียคุน (Guo Jiakun) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน เรียกคำพูดของฟอน เดอร์ เลเยนว่า “ไร้เหตุผล” และ “ลำเอียง” แต่ก็ไม่พลาดที่จะยื่นข้อเสนอเพื่อเพิ่มการสื่อสารและประสานงานกับสหภาพยุโรป พร้อมย้ำว่าจีนคัดค้านอย่างหนักแน่นต่อความพยายามใดๆ ที่จะทำร้ายสิทธิในการพัฒนาของจีน
ความพยายามปรองดองนี้สอดคล้องกับ “การรุกเพื่อดึงดูด” ของจีนที่เรียกว่า “charm offensive” เพื่อตอบโต้ต่อนโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ที่ส่งผลกระทบทั้งพันธมิตรและศัตรู
จีนพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบรัสเซลส์ รวมถึงการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อสมาชิกรัฐสภายุโรป และเจรจาเรื่องข้อพิพาททางการค้า เช่น รถยนต์ไฟฟ้า
เมื่อเดือนที่แล้ว สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ประธานาธิบดีจีน กล่าวชื่นชมครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์จีน-สหภาพยุโรปว่าเป็นโอกาส “เปิดอนาคตที่สดใสกว่า” ด้านฟอน เดอร์ เลเยนตอบรับว่ามุ่งมั่นกระชับความสัมพันธ์บนพื้นฐานความยุติธรรมและผลประโยชน์ร่วมกั
แต่ในการประชุม G7 ที่มีทรัมป์อยู่ด้วย ท่าทีของฟอน เดอร์ เลเยนกลับแข็งกร้าวและโจมตีจีนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกรณีที่จีนจำกัดการส่งออกวัสดุแร่ธาตุหายาก 7 ชนิด ซึ่งเธอเรียกว่าเป็นการ “ใช้อาวุธทางการค้า”
จีนถือครองอุปทานแร่ธาตุหายากทั่วโลกประมาณ 60% และกำลังการกลั่น 90% ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับเทคโนโลยีล้ำสมัย แม้ข้อจำกัดจะผ่อนคลายในช่วงหลัง แต่ฟอน เดอร์ เลเยนเตือนว่า “ภัยคุกคามยังคงอยู่” และเรียกร้องให้กลุ่ม G7 รวมตัวกดดันจีนมากขึ้น แร่ธาตุหายากเป็นเพียงส่วนเล็กของข้อพิพาททางการค้าที่สร้างรอยร้าวลึกระหว่างบรัสเซลส์และปักกิ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สหภาพยุโรปได้กำหนดภาษีสูงต่อรถยนต์ไฟฟ้าจีน ห้ามบริษัทจีนเข้าร่วมประมูลอุปกรณ์การแพทย์ และจัดให้อุปกรณ์ 5G ของ Huawei และ ZTE เป็น “ซัพพลายเออร์ความเสี่ยงสูง” พร้อมเปิดสอบสวนการใช้เงินอุดหนุนอุตสาหกรรมอย่างน่าสงสัย
บรัสเซลส์ยังกล่าวหาจีนว่ามีแคมเปญบิดเบือนข้อมูลและแทรกแซงต่างประเทศ (FIMI) แฮ็กหน่วยงานรัฐ ยุยงความตึงเครียดทางทหารในช่องแคบไต้หวัน ละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ และเป็น “ผู้สนับสนุนหลัก” ของการรุกรานยูเครนของรัสเซีย
แม้จะมีเสียงเรียกร้องจากยุโรป แต่สี จิ้นผิงกลับเน้นความร่วมมือ “ไร้ขีดจำกัด” กับวลาดิมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) สร้างความผิดหวังและความโกรธแค้นในยุโรปอย่างกว้างขวาง
โนอาห์ บาร์กิน (Noah Barkin) นักวิจัยอาวุโสจาก German Marshall Fund ชี้ว่าการวิจารณ์จีนอย่างตรงไปตรงมาของฟอน เดอร์ เลเยนเป็นการตอบสนองต่อความดื้อรั้นของจีน และหากจีนไม่แสดงความเต็มใจแก้ไขปัญหา การประชุมสุดยอด EU-China ในเดือนกรกฎาคมไม่น่าจะมีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
เขายังเตือนว่าความตึงเครียดระหว่างสหภาพยุโรปกับจีนจะเพิ่มขึ้น ตลาดสหรัฐฯ ที่ปิดกั้นสินค้าจีนจะทำให้การส่งออกไปยุโรปเพิ่มขึ้น และการถอนการสนับสนุนยูเครนของสหรัฐฯ จะทำให้จีนสนับสนุนรัสเซียมากขึ้น กลายเป็นปัญหาสำหรับยุโรป
แม้ฟอน เดอร์ เลเยนจะได้รับคำชื่นชมจากความชัดเจนในการประเมินความสัมพันธ์ EU-China แต่ความคิดเห็นของเธอยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์จากประเทศสมาชิก
นายกรัฐมนตรีเปโดร ซานเชซ (Pedro Sánchez) ของสเปนเดินทางไปปักกิ่งในเดือนเมษายน และเรียกร้องให้เปลี่ยนแนวทางเผชิญหน้าเป็นความร่วมมือและเจรจาแก้ไขความขัดแย้ง
แต่ Alicja Bachulska นักวิชาการจาก European Council on Foreign Relations (ECFR) ชี้ว่าความหวังในการรีเซ็ตความสัมพันธ์นั้นเป็นเพียงการคาดการณ์จากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับคณะกรรมาธิการของฟอน เดอร์ เลเยน
สำหรับหลายประเทศ โดยเฉพาะที่เน้นส่งออก จีนยังคงเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน แม้บริษัทยุโรปจะเผชิญอุปสรรคมากมาย การมีตลาดจีนจึงเป็นเบาะรองรับสำคัญในภาวะสงครามการค้าและความไม่แน่นอน
การค้าจะเป็นหัวข้อสำคัญในการประชุมสุดยอด EU-China ที่กำลังจะมาถึง โดยทั้งสองฝ่ายหวังจะประกาศความคืบหน้าบางอย่าง แม้ความหวังในความก้าวหน้าจะลดลงหลังท่าทีแข็งกร้าวของฟอน เดอร์ เลเยนที่ G7
นักการทูตระดับสูงกล่าวว่า “เรายังคงมองจีนเป็นหุ้นส่วน คู่แข่ง และคู่ปรับ ต้องมั่นใจในผลประโยชน์ของเราและพร้อมตอบโต้เมื่อถูกคุกคาม” นักการทูตจากอีกประเทศหนึ่งเตือนว่าความร่วมมือจีน-รัสเซียและการแทรกแซงข้อมูลยังเป็นปัจจัยที่ “ร้ายแรง” และ “น่ากังวล” โดยไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น
“ถ้าต้องการความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเรา เป็นไปไม่ได้หากยังประพฤติตัวเช่นนี้” นักการทูตกล่าว พร้อมย้ำว่า “สหภาพยุโรปต้องยืนหยัดเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ไม่ว่าใครจะอยู่ในทำเนียบขาวก็ตาม”
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.euronews.com/my-europe/2025/06/21/ursula-von-der-leyens-return-as-china-hawk-shuts-down-talk-of-diplomatic-reset