ทำไมการเจรจากับอิหร่านจึงยากเหลือเกิน?

ทำไมการเจรจากับอิหร่านจึงยากเหลือเกิน?
24-5-2025
ชนชั้นนำในสหรัฐฯ และตะวันตกมักบ่นไม่หยุดถึงความ “แข็งกร้าว เจ้าเล่ห์ ก้าวร้าว และไม่น่าเชื่อถือ” ของอิหร่าน โดยกล่าวหาว่าอิหร่านไม่ยอมเจรจา และไม่เคยรักษาคำมั่นสัญญา แต่สิ่งที่มักถูกลืมคือ อิหร่านเป็นอารยธรรมเก่าแก่กว่า 5,000 ปี ที่มีประวัติศาสตร์ทางการทูตยาวนาน — อาจจะต่อรองยาก แต่หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของการทำข้อตกลงกับอิหร่าน อาจไม่ใช่แค่อิหร่าน แต่เป็น “ความระแวง” ของอิหร่านที่มีต่อสหรัฐฯ ซึ่งมีประวัติละเมิดข้อตกลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จากการโค่นผู้นำสู่การทำสงคราม
ในปี 1945 สหรัฐฯ และอิหร่านต่างก็เป็นผู้ลงนามในกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งระบุชัดว่าต้องเคารพอธิปไตยของรัฐสมาชิกทุกประเทศ
แต่เพียง 8 ปีให้หลัง ในปี 1953 หน่วยข่าวกรอง CIA ของสหรัฐฯ และ MI6 ของอังกฤษได้วางแผน “ปฏิบัติการ Ajax” โค่นล้มรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีโมฮัมหมัด โมซาเด็ก ผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญของอิหร่าน และดันให้โมฮัมหมัด เรซา ชาห์ ปาห์ลาวี กลับขึ้นสู่อำนาจ — ซึ่งเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติอย่างชัดเจน
สหรัฐฯ ยังมีบทบาทในการฝึกและติดอาวุธให้กับตำรวจลับของชาห์ นามว่า “ซาวัค” เพื่อปราบปรามฝ่ายตรงข้าม โดยอ้างว่าเป็นการต่อต้านคอมมิวนิสต์
ต่อมาในปี 1979 ประชาชนอิหร่านที่ทนต่อการกดขี่ไม่ไหว ได้โค่นล้มราชวงศ์ปาห์ลาวี และเปลี่ยนการปกครองสู่ระบอบเทวาธิปไตย แม้ผลลัพธ์จะนำไปสู่ความโกลาหล แต่สิ่งที่โลกได้รับรู้เกี่ยวกับอิหร่านในยุคนั้น ส่วนใหญ่ล้วนผ่านการกรองจากสื่ออเมริกันที่มีอคติต่ออิหร่าน
ปี 1980 อิรักเริ่มทำสงครามกับอิหร่าน ด้วยการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และพันธมิตรอีกมากมาย สงครามกินเวลายาวนานถึง 8 ปี คร่าชีวิตผู้คนไปหลายล้านคน แม้อิรักจะใช้อาวุธเคมีโจมตีอิหร่าน สหรัฐฯ ก็ไม่ได้หยุดให้การสนับสนุนแต่อย่างใด
ทั้งที่สหรัฐฯ ลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศหลายฉบับที่ห้ามใช้อาวุธเคมี เช่น Hague Convention ปี 1899, Treaty of Versailles ปี 1919, และ Geneva Protocol ปี 1925 รวมถึงข้อตกลงปี 1972 และ 1993 ว่าด้วยการห้ามพัฒนา ผลิต และสะสมอาวุธเคมี แต่ในสงครามอิหร่าน–อิรัก ข้อตกลงเหล่านี้ถูกละเลยทั้งหมด
หลังจากที่อิหร่านโค่นล้มรัฐบาลชาห์ที่เป็นพันธมิตรของอิสราเอลในปี 1979 สหรัฐฯ ก็เริ่มอายัดทรัพย์สินของรัฐบาลอิหร่าน คว่ำบาตรการส่งออกน้ำมัน และเดินหน้าแทรกแซงประเทศนี้ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งทางลับและเปิดเผย — ล้วนเป็นการละเมิดหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศอีกครั้ง
จากข้อตกลงนิวเคลียร์สู่การถอนตัวแบบไม่รับผิดชอบ
ในปี 2003 ผู้นำสูงสุดของอิหร่านได้ออก ฟัตวา ห้ามผลิตและครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ — คำสั่งนี้ยังคงมีผลจนถึงปัจจุบัน แต่บรรดานักการเมืองสายแข็งในสหรัฐฯ กลับกล่าวหาว่าอิหร่านอาจ “คืนคำ” จึงไม่ควรให้ความสำคัญกับฟัตวานี้ ฟังดูเหมือนการโยนความผิดล่วงหน้า ทั้งที่สหรัฐฯ เองก็มีประวัติละเมิดสนธิสัญญาอย่างเป็นระบบ
ในปีเดียวกัน สหรัฐฯ บุกอิรัก โค่นล้มรัฐบาลซัดดัม ฮุสเซน จากนั้นได้ทำข้อตกลงกับผู้นำลิเบีย มูอัมมาร์ กัดดาฟี ให้ยอมสละอาวุธแลกกับมิตรภาพ แต่ไม่ช้าไม่นาน สหรัฐฯ กลับเปิดฉากโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านกัดดาฟี และในที่สุดก็นำไปสู่การทิ้งระเบิดในปี 2011 ที่จบลงด้วยการล้มรัฐบาลกัดดาฟี และการสังหารอย่างโหดเหี้ยมในที่สาธารณะ
ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศในขณะนั้น เคยพูดถึงเหตุการณ์นี้ด้วยเสียงหัวเราะว่า “เรามา เราเห็น เขาตาย” — ภาพเหล่านี้ฝังใจอิหร่านและทั่วโลก
บทเรียนจากลิเบียก็คือ: อย่าไว้ใจข้อตกลงปลดอาวุธกับสหรัฐฯ — เพราะคุณอาจกลายเป็นเป้าหมายของ “ปฏิบัติการทางทหารเพื่อมนุษยธรรม”
ในปี 2015 รัฐบาลโอบามาทำข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน (JCPOA) โดยอิหร่านยอมให้มีการตรวจสอบนิวเคลียร์อย่างเข้มงวด แลกกับการยกเลิกคว่ำบาตรและการคืนทรัพย์สินที่ถูกยึด แต่สหรัฐฯ ไม่เคยคืนทรัพย์ครบถ้วน และถอนตัวจากข้อตกลงในปี 2018 ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ โดยให้เหตุผลว่า “ข้อตกลงยังไม่เข้มงวดพอ” พร้อมกลับมาใช้มาตรการคว่ำบาตรอีกครั้ง
สองมาตรฐานที่อิหร่านมองเห็นชัดเจน
ขณะที่อิหร่านถูกตรวจสอบเข้มงวดในโครงการนิวเคลียร์ อิสราเอลกลับพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มาตั้งแต่ทศวรรษ 1950 และปฏิเสธที่จะเข้าร่วมสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 1970
แม้ทั้งสหรัฐฯ และอิหร่านจะเป็นผู้ลงนามใน NPT แต่รัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนคลังแสงนิวเคลียร์ของอิสราเอลมาโดยตลอด โดยปฏิเสธไม่ยอมยืนยันหรือปฏิเสธใด ๆ อย่างเป็นทางการ — สิ่งนี้ยิ่งตอกย้ำในสายตาอิหร่านว่า สหรัฐฯ ไม่ได้ยึดมั่นในหลักความยุติธรรม หรือสนธิสัญญาที่ตนเองลงนามเลย
วงจรละเมิดข้อตกลงและละเลยสิทธิมนุษยชน
นอกจากอิหร่านแล้ว ประเทศอื่น ๆ ก็มีประสบการณ์ไม่ต่างกัน เช่นเกาหลีเหนือ ที่ถูกสหรัฐฯ ฉีกข้อตกลง Agreed Framework ในยุคบุช ลูก และพยายามใช้การถอนตัวของเปียงยางจาก NPT เป็นข้ออ้างในการโจมตี แต่เกาหลีเหนือกลับเร่งพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์จนทำให้การโจมตีไม่คุ้มค่าอีกต่อไป — เป็นการ “กลับเกม” เหมือนที่อิหร่านอาจทำในอนาคต หากถูกคุกคามนานพอโดยไม่มีทางเลือกทางการทูต
ยังมีอีกด้านที่โลกไม่ลืม — สหรัฐฯ ใช้ “ไซต์ลับ” ในอัฟกานิสถาน โปแลนด์ และไทย เพื่อทรมานและกักขังผู้ต้องสงสัย โดยอ้างว่าไม่ผิดกฎหมายเพราะกระทำ “นอกประเทศ” ผ่านมือที่สาม ไม่ใช่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ โดยตรง — วิธีคิดเช่นนี้ไม่ต่างจากการจ้างมือปืนไปฆ่าคน แล้วปฏิเสธความรับผิด
อิหร่านรู้ดีเรื่องการทรมาน เพราะซาวัคของชาห์ก็ได้รับการฝึกฝนและสนับสนุนจากทั้งสหรัฐฯ และอิสราเอล
อิสราเอลคือภาพสะท้อนของนโยบายสหรัฐฯ ในสายตาอิหร่าน
สหรัฐฯ สนับสนุนอิสราเอลอย่างเปิดเผย แม้อิสราเอลจะละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศเป็นประจำ โดยเฉพาะกับปาเลสไตน์ ไม่ว่าจะเป็นการยึดที่ดิน ทำลายบ้านเรือน ปิดล้อม ฆ่า จับกุม ทรมาน — การสนับสนุนแบบนี้ขัดต่อกฎหมาย Leahy Law ของสหรัฐฯ เอง แต่รัฐบาลกลับหาทาง “เลี่ยงกฎหมาย” เพื่อส่งอาวุธและเงินช่วยเหลืออยู่ตลอด
ความลังเลของอิหร่านจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
อิหร่านอาจเป็นรัฐบาลที่กดขี่ ขาดประชาธิปไตย และโหดร้ายกับประชาชนบางกลุ่ม แต่เมื่อมองจากประวัติของสหรัฐฯ ที่เคยทรยศพันธมิตร ฉีกข้อตกลง ก่อสงคราม และเพิกเฉยต่อกฎหมายตนเอง การที่อิหร่านจะลังเลไม่ไว้ใจสหรัฐฯ ก็ไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลแต่อย่างใด
คนอเมริกันจำนวนมากอาจไม่รู้ถึงขอบเขตของการกระทำที่ทำในนามของพวกเขา แต่คนทั่วโลก โดยเฉพาะอิหร่าน รับรู้ชัดเจน
IMCT News
ที่มา : https://www.theamericanconservative.com/why-negotiations-with-iran-are-so-difficult/