.

เบื้องลึกทำไมอินเดียและปากีสถานต้องรบกัน
8-5-2025
ในช่วงเช้าตรู่ของวันพุธ ได้เกิดการปะทะทางทหารครั้งใหญ่ระหว่างอินเดียและปากีสถาน โดยฝ่ายอินเดียได้เปิดฉากยิงขีปนาวุธพร้อมกันไปยังเป้าหมายหลายแห่งทั่วปากีสถานและแคว้นแคชเมียร์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของปากีสถาน ซึ่งอินเดียอ้างว่าเป็น “โครงสร้างพื้นฐานของผู้ก่อการร้าย”
ทางปากีสถานกล่าวว่าได้ยิงเครื่องบินรบของกองทัพอากาศอินเดียตก 5 ลำ ซึ่งอินเดียยังไม่ได้ยืนยันข้อกล่าวหานี้ ตามมาด้วยการแลกเปลี่ยนการยิงปืนใหญ่กันอย่างหนักตลอดแนวชายแดนโดยพฤตินัย
ปากีสถานระบุว่าการโจมตีของอินเดียทำให้พลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 26 คน และบาดเจ็บอีก 46 คน ขณะที่อินเดียกล่าวว่าการยิงปืนใหญ่จากฝั่งปากีสถานทำให้พลเรือนเสียชีวิต 10 คน และบาดเจ็บอีก 48 คน ตามแนวเส้นควบคุม (LoC)
รัฐมนตรีกลาโหมของอินเดีย ราชนาถ ซิงห์ ยืนยันว่าการโจมตีด้วยขีปนาวุธของอินเดียไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพลเรือน โดยกล่าวว่า “เราโจมตีเฉพาะผู้ที่สังหารผู้บริสุทธิ์เท่านั้น”
“ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี กองทัพของเราได้ทำให้พวกเราทุกคนภาคภูมิใจ” เขากล่าว
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติของปากีสถานออกแถลงการณ์ระบุว่า การโจมตีของอินเดียเป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผล และจงใจมุ่งเป้าไปยังพื้นที่พลเรือน โดยอ้างเท็จถึงการมีอยู่ของค่ายก่อการร้ายในจินตนาการ แม้ทั่วโลกจะหวั่นเกรงว่าจะเกิดการปะทะครั้งใหญ่ระหว่างสองมหาอำนาจนิวเคลียร์ แต่จากประสบการณ์ของเหตุปะทะตามแนวชายแดนในอดีต ทำให้หลายฝ่ายยังคงมีความหวังว่าความขัดแย้งครั้งนี้จะจำกัดอยู่เพียงในวงแคบ
เหตุใดความขัดแย้งล่าสุดจึงปะทุขึ้น?
ความขัดแย้งครั้งนี้มีต้นตอมาจากเหตุโจมตีของผู้ก่อการร้ายที่รีสอร์ตบนภูเขาแห่งหนึ่งในเมืองพาฮาลแกม ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของอินเดียในแคว้นแคชเมียร์ เมื่อวันที่ 22 เมษายน นำไปสู่การยกระดับความตึงเครียดอย่างรวดเร็วระหว่างสองชาติคู่อริ มีนักท่องเที่ยวเสียชีวิตอย่างน้อย 28 คนจากเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งได้รับการประณามอย่างรุนแรงจากนานาประเทศ
สื่ออินเดียชี้ไปที่กลุ่มที่ค่อนข้างไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ชื่อว่า The Resistance Front (TRF) ซึ่งได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบผ่านสื่อสังคมออนไลน์ อย่างไรก็ตาม TRF ได้ออกแถลงการณ์ในภายหลังปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการโจมตีดังกล่าว
ทางการอินเดียยืนยันว่า TRF เป็นกลุ่มตัวแทนของกลุ่มก่อการร้าย Lashkar-e-Taiba ซึ่งมีฐานอยู่ในปากีสถาน โดยกล่าวหาว่าอิสลามาบัดมีส่วนเกี่ยวข้องโดยอ้อมกับเหตุการณ์ครั้งนี้ เพียงหนึ่งวันหลังจากเหตุโจมตี อินเดียได้ยกเลิกสนธิสัญญาน้ำสินธุ (Indus Water Treaty - IWT) ที่มีอายุ 65 ปี ซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับการใช้น้ำจากแม่น้ำสินธุและสาขาของแม่น้ำดังกล่าว
ตามข้อตกลงนี้ อินเดียได้รับสิทธิในการใช้น้ำ 30% ของปริมาณน้ำทั้งหมด ขณะที่ปากีสถานได้รับ 70% ความสำคัญของแม่น้ำสินธุต่อปากีสถานมีลักษณะคล้ายคลึงกับแม่น้ำไนล์ที่มีต่ออียิปต์ เนื่องจากมากกว่า 90% ของภาคเกษตรกรรมของประเทศขึ้นอยู่กับแม่น้ำสายนี้
อินเดียประกาศว่าจะเปลี่ยนทิศทางการไหลของน้ำ และเริ่มการก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ ซึ่งตามถ้อยคำของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี คือการ “รักษาน้ำของอินเดียไว้ในอินเดีย”
ทางปากีสถานได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย และตอบโต้การเคลื่อนไหวของอินเดียโดยการยกเลิกข้อตกลงชิมลา (Shimla Agreement) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาสันติภาพที่ยุติสงครามอินโด-ปากีสถานครั้งใหญ่ในปี 1971
เหตุใดจึงเกิดความขัดแย้งในแคชเมียร์?
แคชเมียร์ ซึ่งเป็นภูมิภาคทางตอนเหนือสุดของเอเชียใต้ เป็นจุดที่มีข้อพิพาทด้านดินแดนมาอย่างยาวนานระหว่างอินเดียและปากีสถาน ซึ่งเป็นสองชาติมหาอำนาจในภูมิภาค เมื่ออินเดียภายใต้การปกครองของอังกฤษถูกแบ่งแยกในปี 1947 ออกเป็นอินเดียและปากีสถาน รัฐเจ้าผู้ครองนครจัมมูและแคชเมียร์ ซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม แต่มีเจ้าผู้ครองนครเป็นชาวฮินดูชื่อมหาราชา ฮารี ซิงห์ ได้กลายเป็นประเด็นพิพาท เดิมทีมหาราชาต้องการความเป็นเอกราช แต่ต่อมาต้องเข้าร่วมกับอินเดียภายใต้แรงกดดันจากการบุกโจมตีของชนเผ่าที่ได้รับการสนับสนุนจากปากีสถาน เป็นเหตุให้เกิดสงครามอินโด-ปากีสถานครั้งแรกในปี 1947–48 องค์การสหประชาชาติได้เข้ามาไกล่เกลี่ยและจัดการให้มีการหยุดยิงในปี 1949 ซึ่งทั้งสองฝ่ายยอมรับ และได้นำไปสู่การกำหนดเส้นควบคุม (Line of Control หรือ LoC) ซึ่งเป็นพรมแดนโดยพฤตินัยที่แบ่งภูมิภาคออกจากกัน
อินเดียควบคุมพื้นที่จัมมู หุบเขาแคชเมียร์ และลาดักห์ (ประมาณ 45% ของภูมิภาคทั้งหมด) ขณะที่ปากีสถานควบคุมแคว้นแคชเมียร์ภายใต้การปกครองของตนเองและกิลกิต-บัลติสถาน (ประมาณ 35%) ส่วนจีนควบคุมพื้นที่อักไซจิน (ประมาณ 20%) หลังสงครามจีน-อินเดียในปี 1962 ทั้งอินเดียและปากีสถานต่างอ้างสิทธิ์เหนือภูมิภาคจัมมูและแคชเมียร์ทั้งหมด ซึ่งเป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง การนองเลือด และการปะทะตามแนวชายแดนเป็นระยะ
อินเดียมองว่าแคชเมียร์เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่ไม่อาจแบ่งแยกของประเทศ ในขณะที่ปากีสถานอ้างสิทธิ์ตามหลักการให้ชาวแคชเมียร์มีสิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง โดยอ้างถึงประชากรส่วนใหญ่ที่เป็นชาวมุสลิมและมติขององค์การสหประชาชาติที่เรียกร้องให้มีการลงประชามติ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นเนื่องจากความเห็นไม่ลงรอยกันระหว่างสองประเทศ
ข้อพิพาทนี้ยังเป็นแรงผลักดันของความเป็นปรปักษ์ในระดับที่กว้างกว่าระหว่างอินเดียและปากีสถาน โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองประเทศเป็นรัฐที่มีอาวุธนิวเคลียร์ ทำให้ประชาคมโลกกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการปะทุและผลกระทบในวงกว้าง
ความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน และแรงกดดันทางการเมืองภายในของทั้งสองประเทศ ทำให้การประนีประนอมเป็นเรื่องยาก นอกจากนี้ยังมีผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ เช่น ทรัพยากรน้ำจากแม่น้ำในเทือกเขาหิมาลัย มุมมองของชาวแคชเมียร์แตกต่างกันออกไป บางส่วนต้องการเอกราช บางส่วนสนับสนุนอินเดียหรือปากีสถาน แต่คนจำนวนมากต้องการสันติภาพและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากกว่า
ความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานในอดีตมีอะไรบ้าง?
อินเดียและปากีสถานเคยมีส่วนร่วมในสงคราม ความขัดแย้ง การปะทะตามแนวชายแดน และการเผชิญหน้าเชิงทหารหลายครั้ง เกี่ยวข้องกับภูมิภาคแคชเมียร์ สงครามอินโด-ปากีสถานครั้งแรก (1947–48) เป็นสงครามใหญ่ครั้งแรกในสี่ครั้งระหว่างทั้งสองประเทศ โดยมีชนเผ่าจากเขตตะวันตกบุกเข้าโจมตีเป็นชนวน กองกำลังกลุ่มกบฏเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธ กระสุน และเสบียงจากปากีสถาน ซึ่งต่อมาได้เข้าร่วมสงครามอย่างเป็นทางการหลังจากเกิดความขัดแย้งมาแล้ว 6 เดือน
หลังจากสงครามดำเนินไปอีก 6 เดือน และมีผู้เสียชีวิตหลายหมื่นคน ความขัดแย้งจึงยุติลงจากการไกล่เกลี่ยขององค์การสหประชาชาติ โดยสงครามจบลงโดยไม่มีฝ่ายใดชนะอย่างชัดเจน แต่อินเดียสามารถยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของภูมิภาคได้
สงครามอินโด-ปากีสถานครั้งที่สอง (ปี 1965) ปะทุขึ้นเนื่องจากการแทรกซึมทางทหารของปากีสถานเข้าไปในพื้นที่แคชเมียร์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของอินเดีย และกินเวลานานประมาณหนึ่งเดือน
สงครามครั้งนี้นำไปสู่การสู้รบด้วยรถถังครั้งใหญ่และมีผู้เสียชีวิตหลายพันคน และจบลงด้วยข้อตกลงทัชเคนต์ (Tashkent Agreement) โดยยังไม่มีฝ่ายใดได้รับชัยชนะอย่างชัดเจนอีกเช่นเคย
ความขัดแย้งสำคัญถัดไปคือสงครามเซียเชน (Siachen War) ในช่วงปี 1984–2003 ซึ่งเกิดขึ้นบริเวณธารน้ำแข็งเซียเชน (Siachen Glacier) ที่มีพื้นที่พิพาทกว่า 2,500 ตารางกิโลเมตร ทางตอนเหนือของแคชเมียร์ ความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่อินเดียเข้ายึดพื้นที่ธารน้ำแข็งดังกล่าวพร้อมกับธารน้ำแข็งสาขา ด่านภูเขาสำคัญ และแนวสันเขาตามแนวชายแดน หลังจากการสู้รบเป็นระยะๆ ยาวนานเกือบสองทศวรรษ และมีผู้เสียชีวิตหลายพันคน ส่วนใหญ่เกิดจากอาการบาดเจ็บจากความเย็นจัด หิมะถล่ม และอันตรายทางธรรมชาติ สงครามจึงสิ้นสุดลงด้วยการหยุดยิง
สงครามคาร์กิล (Kargil War) ในปี 1999 เริ่มขึ้นเมื่อกองทัพปากีสถานแทรกซึมเข้าไปในเขตคาร์กิลของแคว้นลาดักห์ ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของอินเดียในจัมมูและแคชเมียร์ เหตุการณ์นี้ทำให้อินเดียเปิดฉากตอบโต้ทางทหาร และสงครามจบลงหลังจากผ่านไป 3 เดือน โดยมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากทั้งสองฝ่าย ปากีสถานต้องถอนกำลังออกจากพื้นที่เนื่องจากแรงกดดันจากนานาชาติ ในศตวรรษที่ 21 ทั้งสองฝ่ายมีเหตุปะทะตามแนวชายแดนอย่างน้อย 10 ครั้ง ซึ่งบางครั้งมีผู้เสียชีวิตเพียงไม่กี่คน แต่บางครั้งก็มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งในกลุ่มทหารและพลเรือน
ที่มา Press TV