จีนเรียกร้องสหรัฐแก้ไขปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน

จีนเรียกร้องให้สหรัฐฯ มีความจริงใจ แก้ไขปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน พร้อมประกาศแนวร่วม 3 ชาติ "จีน-รัสเซีย-อิหร่าน" ต้านคว่ำบาตรสหรัฐฯ
15-3-2025
นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน เรียกร้องให้สหรัฐฯ แสดง "ความจริงใจทางการเมือง" ในการแก้ไขปัญหานิวเคลียร์ของอิหร่าน ภายหลังการประชุมในกรุงปักกิ่งระหว่างจีน รัสเซีย และอิหร่าน ที่เรียกร้องให้ยุติ "การคว่ำบาตรที่ผิดกฎหมาย" ต่อเตหะราน
การเจรจาไตรภาคีเมื่อวันศุกร์(14 มี.ค.) ซึ่งเรียกร้องให้ยุติ "การคุกคามด้วยกำลัง" ด้วยเช่นกัน จัดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่อิหร่านปฏิเสธข้อเสนอของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการเริ่มต้นการเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านอีกครั้ง
นายหวัง ซึ่งได้พบกับนายคาเซม การิบาบาดี รองรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน และนายเซอร์เกย์ รีอาบคอฟ รองรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เมื่อวันศุกร์ กล่าวว่า "จีนหวังว่าทุกฝ่ายจะพบกันครึ่งทาง และกลับมาเจรจากันอีกครั้งโดยเร็วที่สุด สหรัฐฯ ควรแสดงความจริงใจทางการเมืองและกลับมาเจรจาโดยเร็วที่สุด"
ตามแถลงการณ์ของกระทรวงต่างประเทศจีน นายหวังยังแสดงท่าทีคัดค้านการ "แทรกแซงโดยบังคับ" ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ในเรื่องนี้ สหรัฐฯ และอีก 5 ประเทศได้เรียกประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแบบปิดประตูเพื่อหารือในประเด็นดังกล่าว โดยสหราชอาณาจักรได้เสนอว่าอาจมีการนำมาตรการคว่ำบาตรกลับมาใช้ใหม่หากอิหร่านขยายโครงการนิวเคลียร์เพิ่มเติม
นายหวังยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าการเจรจาจาก "จุดยืนที่เหนือกว่า" จะไม่ช่วยแก้ไขปัญหาได้ โดยเน้นย้ำว่า "ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน การแทรกแซงอย่างเร่งรีบของคณะมนตรีความมั่นคงจะไม่ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายสร้างความไว้วางใจและลดช่องว่างความขัดแย้งได้ การเริ่มฟื้นฟูมาตรการคว่ำบาตรอย่างรวดเร็วจะทำลายความพยายามทางการทูตที่สั่งสมมาหลายปี ดังนั้นทุกฝ่ายต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง"
ในแถลงการณ์ร่วม ทั้งสามประเทศระบุว่า การมีส่วนร่วมทางการทูตและการเจรจาบนพื้นฐานของ "ความเคารพซึ่งกันและกัน" เป็น "ทางเลือกเดียวที่มีประสิทธิผลและเป็นไปได้" สำหรับการแก้ไขปัญหา พวกเขายังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายดำเนินการเพื่อ "ขจัดสาเหตุหลัก" ของปัญหา โดยระบุว่า "ทั้งสามประเทศเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการยุติการคว่ำบาตรฝ่ายเดียวที่ผิดกฎหมายทั้งหมด ฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรละทิ้งแรงกดดันจากการคว่ำบาตรและการขู่ใช้กำลัง"
ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อแผนปฏิบัติการร่วมครอบคลุม (JCPOA) นั้น นอกจากอิหร่านและสหรัฐฯ แล้ว ยังมีจีน รัสเซีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี และสหภาพยุโรปร่วมลงนามด้วย
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ส่งจดหมายถึงอายาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ผ่านทางสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยเสนอให้เริ่มการเจรจาใหม่อีกครั้ง ทว่าหนึ่งวันหลังจากส่งจดหมาย ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า หากเตหะรานไม่ต้องการเจรจา สหรัฐฯ อาจต้อง "เข้าไปแทรกแซงทางทหาร"
ประธานาธิบดี มาซูด เปเซชเคียน ของอิหร่าน ตอบโต้ว่า เขาจะไม่เจรจาในขณะที่ถูก "คุกคาม" และเน้นย้ำว่าอิหร่านจะไม่ยอมจำนนต่อ "คำสั่ง" ของสหรัฐฯ ให้เข้าร่วมการเจรจา
นับตั้งแต่สหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงในปี 2561 ทางวอชิงตันได้กลับมาใช้มาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านหลายรอบ รวมถึงมาตรการที่พุ่งเป้าไปที่การส่งออกน้ำมันและระบบการเงินของประเทศ อิหร่านปฏิเสธข้อกล่าวหามาโดยตลอดว่าต้องการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นจุดยืนที่ย้ำอีกครั้งในการประชุมที่ปักกิ่งเมื่อวันศุกร์ อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา อิหร่านได้ลดการปฏิบัติตามข้อกำหนดของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) และเพิ่มการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม
ศาสตราจารย์ฟาน หงต้า จากสถาบันการศึกษาตะวันออกกลาง มหาวิทยาลัยการศึกษานานาชาติเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า บทบาทของจีนในประเด็นนิวเคลียร์อิหร่าน "ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ" เขาอธิบายว่า "ผมคิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะมีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมในการเจรจาที่ปักกิ่ง เพราะประเด็นนิวเคลียร์อิหร่านในท้ายที่สุดแล้วขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ"
ฟานเสริมว่า ภายในอิหร่านมีความขัดแย้งภายในที่ "รุนแรงมาก" เกี่ยวกับท่าทีที่ควรมีต่อสหรัฐฯ "ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ สนับสนุนการมีปฏิสัมพันธ์กับสหรัฐฯ แต่กลุ่มผู้นำสายแข็งที่กุมอำนาจยังคงไม่เห็นด้วย" ประธานาธิบดีเปเซชเคียนถูกมองว่าเป็นผู้นำสายกลาง และได้ให้คำมั่นว่าจะร่วมมือกับสหรัฐฯ แต่อายาตอลเลาะห์คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ยังคงยืนหยัดในจุดยืนที่แข็งกร้าว
ศาสตราจารย์หวาง จิน จากมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสต์ของจีน มองว่า การเจรจาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาไม่ได้มุ่งเน้นที่การสร้างความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม แต่เน้นที่การแสดงแนวร่วมร่วมกันมากกว่า "การเจรจาไตรภาคีครั้งนี้ไม่ใช่การเจรจาประจำตามกลไกที่วางไว้ แต่เป็นการเจรจาเชิงสัญลักษณ์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงจุดยืนร่วมกันของจีน รัสเซีย และอิหร่าน" เขากล่าว
ในโพสต์บนโซเชียลมีเดีย นายโมห์เซน บัคเตียร์ เอกอัครราชทูตอิหร่านประจำจีน ระบุว่า การประชุมครั้งนี้เป็น "ความคิดริเริ่มที่มีคุณค่า" ในการต่อต้าน "การดำเนินนโยบายฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ" และได้หารือถึง "ความจำเป็น" ในการสร้างแนวร่วมต่อต้านการคว่ำบาตรของวอชิงตัน
ในการประชุมเมื่อวันศุกร์ จีน รัสเซีย และอิหร่าน ยังได้ตกลงที่จะเสริมสร้างความร่วมมือผ่านกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS) และองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ซึ่งเป็นสองเวทีระหว่างประเทศที่ปักกิ่งและมอสโกใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสร้างทางเลือกให้กับระเบียบโลกที่นำโดยชาติตะวันตก ทั้งสามประเทศยังได้เพิ่มความร่วมมือทางการเงินและการป้องกันประเทศเพื่อรับมือกับแรงกดดันจากสหรัฐฯ รวมถึงการซ้อมรบทางทะเลร่วมกันในอ่าวโอมานในสัปดาห์นี้ด้วย ทั้งนี้ มีรายงานว่าขีปนาวุธรุ่นใหม่ของอิหร่านนั้นมีขีดความสามารถในการโจมตีได้ถึงอิสราเอลและฐานทัพสหรัฐฯ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง
---
IMCT NEWS