บ.สหรัฐฯเสีย3.24แสนล้าน$จากการถอนธุรกิจจากรัสเซีย

บริษัทสหรัฐฯ สูญเสีย 3.24 แสนล้าน$ จากการถอนธุรกิจออกจากรัสเซีย
19-2-2025
เจ้าหน้าที่รัสเซียที่รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจในการเจรจาสันติภาพยูเครนที่กรุงริยาดเมื่อวันอังคาร ได้นำเสนอแผนภูมิแก่คณะผู้แทนสหรัฐฯ แสดงรายละเอียดความเสียหายประมาณ 324,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 10.7 ล้านล้านบาท) ที่บริษัทอเมริกันแบกรับจากการถอนตัวออกจากตลาดรัสเซีย โดยมีรายละเอียดการสูญเสียแยกตามภาคธุรกิจและข้อมูลเฉพาะของแต่ละบริษัท
ตัวเลขที่นำเสนอโดย คีริลล์ ดมิเทรียฟ ผู้บริหารกองทุนการลงทุนโดยตรงของรัสเซีย (RDIF) ต่อสื่อรัสเซีย ระบุว่าภาคเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อได้รับความเสียหายมากที่สุดถึง 123,000 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยภาคสินค้าอุปโภคบริโภค 94,000 ล้านดอลลาร์ ภาคการเงิน 71,000 ล้านดอลลาร์ ภาคอุตสาหกรรม 26,000 ล้านดอลลาร์ และภาคพลังงาน 10,000 ล้านดอลลาร์
จากข้อมูลที่รวบรวมจากรายงานสาธารณะและแถลงการณ์ของบริษัทในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา พบว่า Exxon ต้องลดมูลค่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรัสเซียลง 4,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ McDonald's บันทึกการตัดหนี้สูญที่ไม่ใช่เงินสด 1,400 ล้านดอลลาร์ในปี 2565 (2022) อันเนื่องมาจากการถอนตัวออกจากรัสเซีย ส่วน General Motors ขาดทุน 657 ล้านดอลลาร์
Google บริษัทสาขาในรัสเซียประกาศล้มละลายในปี 2566 (2023) พร้อมหนี้สินรวม 587 ล้านดอลลาร์ และถูกศาลรัสเซียปรับเป็นเงิน 2.5 อันเดซิลเลียนรูเบิล (จำนวนมหาศาล) จากการจำกัดช่องสื่อรัสเซียบน YouTube นอกจากนี้ Whirlpool บันทึกการขาดทุนที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย 400 ล้านดอลลาร์ Coca-Cola ขาดทุน 195.4 ล้านดอลลาร์ และ Disney รายงานการขาดทุน 195 ล้านดอลลาร์จาก "ค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้" ในรัสเซียในปี 2565
IBM รายงานการขาดทุน 300 ล้านดอลลาร์ในปี 2565 โดยกล่าวโทษสถานการณ์ในรัสเซียและภาวะเงินเฟ้อที่ส่งผลให้ต้องปลดพนักงาน 3,900 คน ส่วน Starbucks ประสบภาวะขาดทุน (ไม่เปิดเผยจำนวน) หลังจากปิดร้านกาแฟในรัสเซีย 130 แห่ง ซึ่งคิดเป็นเกือบร้อยละ 1 ของยอดขายทั่วโลก Microsoft ขาดทุน 126 ล้านดอลลาร์ Ford ได้รับผลกระทบ 122 ล้านดอลลาร์ และ Nvidia ขาดทุน 100 ล้านดอลลาร์
บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดย Apple รายงานการขาดทุน 79.3 ล้านดอลลาร์ Xerox เผชิญภาวะขาดทุน 80 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 และ Adobe รายงานความเสียหาย 75 ล้านดอลลาร์จากการสูญเสียการชำระเงินในรัสเซียและเบลารุส
Netflix ตัดบัญชีสมาชิกชาวรัสเซีย 700,000 ราย (คาดการณ์ความเสียหายราว 55.1 ล้านดอลลาร์ แม้ว่าผู้ใช้บริการชาวรัสเซียบางส่วนจะเปลี่ยนบัญชีไปยังภูมิภาคอื่น) John Deere ระงับการผลิตที่โรงงานขนาด 100,000 ตารางเมตร ซึ่งได้ลงทุนไปแล้วกว่า 40 ล้านดอลลาร์ในช่วงปี 2548-2565 (2005-2022) ขณะที่ Caterpillar ซึ่งถอนตัวในปี 2567 (2024) มีรายได้ในรัสเซียลดลงจาก 64.5 ล้านดอลลาร์ในปี 2564 (2021) เหลือเพียง 2.3 ล้านดอลลาร์ในปี 2566 (2023) ก่อนการชำระบัญชี
ผู้ให้บริการชำระเงินรายใหญ่อย่าง Visa และ MasterCard บันทึกการขาดทุน 35 และ 30 ล้านดอลลาร์ตามลำดับในปี 2565 ในขณะที่ HP ตัดบัญชีขาดทุน 23 ล้านดอลลาร์ Cisco ขาดทุน 20.3 ล้านดอลลาร์ Oracle ขาดทุน 13.7 ล้านดอลลาร์ และ Western Union รายงานว่ารายได้ในปี 2565 ลดลงร้อยละ 2 เนื่องจากการสูญเสียตลาดในรัสเซียและเบลารุส
ข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยในบริบทของการเจรจาสันติภาพระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมุ่งเน้นการแก้ไขความขัดแย้งในยูเครน โดยฝ่ายรัสเซียได้นำตัวเลขเหล่านี้มาใช้เพื่อแสดงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจของการถอนตัวของบริษัทอเมริกันจากตลาดรัสเซีย ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน
ทั้งนี้ เมื่อเดือนธันวาคม 2566 มีรายงานว่าความเสียหายของบริษัทตะวันตกจากการอพยพออกจากรัสเซียมีมูลค่าเทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสโลวีเนีย
---
IMCT NEWS : Photo Sputnik -© Flickr / Gregg Brekke
-------------------------
'ไม่ง่าย แต่เป็นไปได้' โอกาสฟื้นความสัมพันธ์เศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซีย
19-2-2025
นักวิเคราะห์เผยตลาดรัสเซียยังคงเป็นตลาดที่ "น่าสนใจ ขนาดใหญ่ และมีศักยภาพสูง" สำหรับบริษัทสหรัฐฯ แม้ต้องเผชิญความท้าทาย
Igbal Guliyev (อิกบัล กูลิเยฟ) นักวิเคราะห์จาก RT เปิดเผยว่า การที่บริษัทสหรัฐฯ จะกลับเข้าสู่ตลาดรัสเซียอีกครั้งนั้นแม้จะเป็นเรื่องท้าทาย แต่ก็ยังเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
ความเห็นดังกล่าวมีขึ้นภายหลังการเจรจาระหว่างนักการทูตอาวุโสของรัสเซียและสหรัฐฯ ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับแนวทางการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต การวางแผนการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา รวมถึงการหาทางออกสำหรับความขัดแย้งในยูเครน
ตามรายงานจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงที่จะ "วางรากฐานสำหรับความร่วมมือในอนาคตในประเด็นผลประโยชน์ร่วมทางภูมิรัฐศาสตร์ และโอกาสทางเศรษฐกิจและการลงทุนที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ซึ่งจะเกิดขึ้นจากการยุติความขัดแย้งในยูเครนอย่างประสบความสำเร็จ"
ทางด้านมอสโกได้เรียกร้องให้มีโครงการความร่วมมือระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ ในภูมิภาคอาร์กติก
กูลิเยฟ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถาบันนโยบายพลังงานและการทูตระหว่างประเทศ แห่งมหาวิทยาลัย MGIMO ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับศักยภาพในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย โดยเขาเน้นย้ำว่าความร่วมมือระหว่างบริษัทของทั้งสองประเทศนั้น "ประสบความสำเร็จอย่างมาก" ในอดีตที่ผ่านมา
"สำหรับบริษัทสัญชาติอเมริกัน ตลาดรัสเซียถือเป็นตลาดที่น่าสนใจอย่างยิ่ง มีขนาดใหญ่ และเต็มไปด้วยโอกาส" กูลิเยฟกล่าวกับ RT พร้อมเสริมว่า บริษัทเหล่านี้มีเทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะในด้านการขุดเจาะนอกชายฝั่ง ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการลงทุนร่วมในพื้นที่ต่างๆ เช่น ภูมิภาคอาร์กติกได้เป็นอย่างดี
"ในขณะเดียวกัน เราไม่ควรมองข้ามโอกาสอันล้ำค่าในมุมมองของบริษัทสหรัฐฯ นั่นคือ ธุรกิจบริการด้านน้ำมัน การกลับเข้ามาหรือกลับเข้ามาบางส่วนในตลาดนี้ ซึ่งพวกเขาจะต้องแข่งขันกับบริษัทท้องถิ่นและบริษัทท้องถิ่นที่มีทุนต่างชาติร่วมนั้น อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งสิ้น" เขากล่าว
กูลิเยฟยังชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างทางนโยบายระหว่างอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน กับประธานาธิบดีคนใหม่อย่างโดนัลด์ ทรัมป์ โดยระบุว่า ในขณะที่ไบเดน "ให้ความสำคัญกับวาระพลังงานสีเขียวมากกว่า" ทรัมป์กลับสนับสนุนการเพิ่มการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยใช้คำขวัญ "เจาะเถอะ เจาะเลย" (drill, baby drill) ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
นักวิเคราะห์รายนี้ยังเสนอแนะว่า ภายใต้นโยบายของทรัมป์ อาจมีแรงกดดันต่อภาคพลังงานของรัสเซียน้อยลง เนื่องจากการจำกัดน้ำมันจากรัสเซียอาจส่งผลให้อุปทานในตลาดโลกลดลงและราคาน้ำมันสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคทั่วโลก รวมถึงชาวอเมริกันด้วย
"ผมคิดว่าจะไม่มีมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อเรือบรรทุกน้ำมันของรัสเซีย อาจมีบ้างหากเป็นการมุ่งเป้าโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันเฉพาะลำ แต่จะไม่เกิดขึ้นในวงกว้าง" เขากล่าวเสริม
ก่อนการประชุมที่กรุงริยาด คีริลล์ ดมิเทรียฟ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกองทุนการลงทุนโดยตรงของรัสเซีย (RDIF) และหนึ่งในคณะผู้แทนจากมอสโก ได้ประเมินว่า บริษัทสหรัฐฯ ต้องสูญเสียมูลค่ามากกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันเป็นผลมาจากการถอนตัวออกจากตลาดรัสเซีย
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.rt.com/russia/612968-us-russia-economic-ties/