ระเบียบเสรีนิยมได้สิ้นสุดลงแล้ว

ระเบียบเสรีนิยมได้สิ้นสุดลงแล้ว
1-10-2025
ความเหมาะสมถูกละทิ้ง กฎเกณฑ์ถูกลืม และพรมแดนไม่มีความหมายเหมือนที่เคยเป็นอีกต่อไป “อำนาจ” ยังคงมีอยู่ แต่ “สันติภาพ” ดำรงอยู่เพียงในจินตนาการของผู้ที่ยังเกาะติดกับสโลแกนเก่า ๆ
สิ่งที่เราเรียกว่า “สถานการณ์ระหว่างประเทศ” ในปัจจุบัน คือฉากละครที่ไม่มีบท – และหน้าที่ของเราคือการอธิบายมัน และพยายามเข้าใจมัน
ทุกปี Valdai International Discussion Club จะจัดทำรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ของระเบียบโลก
รายงานฉบับล่าสุดของปีนี้ใช้ชื่อว่า “ดร.ความโกลาหล หรือ: วิธีเลิกกังวลและเริ่มรักความไร้ระเบียบ” (Dr. Chaos or: How to Stop Worrying and Love the Disorder) – และตั้งคำถามว่า โลกกำลังเข้าสู่ “สถานการณ์ปฏิวัติ” ที่อาจนำไปสู่ระเบียบโลกแบบใหม่โดยสิ้นเชิงหรือไม่
คำตอบคือ: ไม่
แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบันจะรุนแรงและน่าวิตกในหลายด้าน แต่มันยังไม่ถึงขั้น “ปฏิวัติ” เพราะเหตุใด? เพราะระบบที่มีอยู่ยังไม่ “อยุติธรรม” จนทนไม่ไหวสำหรับผู้เล่นหลักในเวทีโลก แม้ระบบจะเสื่อมถอย แต่ยังไม่รุนแรงถึงขั้นที่ทุกฝ่ายต้องการโค่นล้ม
หลายสถาบันอ่อนแอลง หลายแห่งยังดำรงอยู่เพียงในนาม แต่ก็ยังไม่มีใครพยายามทำลายอย่างจริงจัง แม้แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ที่สร้างความปั่นป่วนมากที่สุดในรอบหลายปีอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ไม่ได้พยายามยกเครื่องระบบโดยพื้นฐาน – แต่เลือกที่จะละเลยข้อจำกัดของระบบเมื่อมันขัดกับผลประโยชน์ของตน
สาเหตุนี้ไม่ใช่เพราะชาติมหาอำนาจกลายเป็นฝ่ายระมัดระวังหรือรับผิดชอบมากขึ้น แต่เพราะ ระเบียบโลกปัจจุบันซับซ้อนเกินกว่าจะรื้อถอนได้ง่าย “เบื้องบน” ซึ่งเคยถูกแทนด้วยชาติมหาอำนาจผู้นำโลก เช่น สหรัฐอเมริกา ก็ไม่สามารถใช้อำนาจแบบเฮเจโมนี (hegemony) อย่างแท้จริงได้อีกต่อไป
สหรัฐฯ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด: มันขาดทั้งทรัพยากร เงินทุน ความพร้อมภายในประเทศ และแม้แต่เจตจำนง ที่จะทำหน้าที่ “ตำรวจโลก” อย่างที่เคย แต่ขณะเดียวกัน “เบื้องล่าง” ซึ่งก็คือ “โลกส่วนใหญ่” หรือ Global Majority ก็ยังไม่ต้องการการปฏิวัติ รัฐเกิดใหม่ จำนวนมากมองเห็นความเสี่ยงมหาศาลหากระบบล่มสลายโดยสิ้นเชิง
พวกเขาต้องการไต่เต้าในระบบเดิม มากกว่าทำลายมันทิ้ง ในจุดนี้ รายงานของ Valdai ได้หยิบยก คำนิยามของเลนินเกี่ยวกับสถานการณ์ปฏิวัติ ซึ่งกล่าวว่า: “ชนชั้นปกครองต้องไม่สามารถปกครองในแบบเดิมได้อีกต่อไป และชนชั้นถูกปกครองต้องเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง” ทุกวันนี้ เงื่อนไขแรกเกิดขึ้นแล้ว – แต่เงื่อนไขที่สองยังไม่เกิด
ประเทศส่วนใหญ่ยังคงเลือกทางสายกลาง ค่อย ๆ ยกระดับสถานะของตน โดยไม่เสี่ยงกับการล่มสลายของระบบทั้งหมด
ความสับสนในระเบียบพหุขั้ว (Multipolar Confusion)
การเปลี่ยนผ่านจากระเบียบแบบมหาอำนาจเดี่ยว (Hegemony) ไปสู่ระเบียบแบบพหุขั้ว (Multipolarity) เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้ง แต่ พหุขั้วในวันนี้ยังไม่ใช่ "ระเบียบโลก" – มันเป็นเพียง “สภาพแวดล้อม” ที่เต็มไปด้วยความไหลลื่น ความสับสน และไม่มีทิศทางที่ชัดเจน
ความไม่มั่นคงเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ โลกเชื่อมโยงกันมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความขัดแย้งมากขึ้นเช่นกัน สำหรับรัฐต่าง ๆ ความมั่นคงภายในกลายเป็นสิ่งสำคัญกว่าความทะเยอทะยานในเวทีโลก
รัฐบาลเกือบทุกประเทศ — รวมถึงรัสเซีย — ปัจจุบันให้ความสำคัญกับการพัฒนาและความยืดหยุ่นภายในประเทศ มากกว่าการครองความเป็นใหญ่ในระดับโลก
สิ่งที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ “แปลก” ก็คือ มันไม่ได้ขับเคลื่อนโดยการปฏิวัติทางอุดมการณ์ จีน ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ที่กำลังเติบโต ไม่ได้พยายาม “ปั้นโลกใหม่ในแบบของตน” ในทางกลับกัน จีนปรับตัวตามสถานการณ์ และพยายามลดต้นทุนของการเป็นศูนย์กลางของโลก
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจึงเป็น “เชิงภาวะวิสัย” (Objective) — เป็นผลลัพธ์จากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นพร้อมกัน แต่ไม่เป็นจังหวะเดียวกัน
รายงานของ Valdai กล่าวติดตลกว่า “คงมีเพียงปัญญาประดิษฐ์เท่านั้น ที่อาจจะคำนวณเวกเตอร์รวมของพลังทั้งหมดนี้ได้ในสักวันหนึ่ง”
ในระหว่างนี้ นโยบายต่างประเทศยังไม่เลือนหาย – ในทางกลับกัน กิจกรรมระหว่างประเทศกลับเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่ วัตถุประสงค์ได้เปลี่ยนไปแล้ว รัฐต่าง ๆ ไม่ได้ใฝ่ฝันถึงชัยชนะอย่างเด็ดขาดอีกต่อไป
พวกเขาแสวงหาความได้เปรียบแบบค่อยเป็นค่อยไป — การปรับจุดยืนทีละน้อย การสร้างเงื่อนไขที่เอื้อในระยะสั้น เป็นการเจรจาอย่างต่อเนื่องที่มีแรงกดดันคอยสนับสนุน
ตัวอย่างเช่น:
สหรัฐฯ ตระหนักดีว่าไม่สามารถปกป้องอำนาจนำของตนในแบบเดิมได้อีกต่อไป
รัสเซีย ก็เช่นกัน จะไม่ยอมเสี่ยงต่อเสถียรภาพภายในเพียงเพื่อชัยชนะที่เด็ดขาดในสนามรบ
อาวุธนิวเคลียร์ ยังคงทำให้การทำสงครามเต็มรูปแบบระหว่างมหาอำนาจเป็นสิ่งที่ “คิดไม่ถึง”
แม้ว่า อิสราเอล จะยังคงเชื่อว่าตนสามารถเปลี่ยนแปลงสถานะเดิมได้อย่างถาวร
และ อาเซอร์ไบจาน ได้ทวงคืนการควบคุมพื้นที่ คาราบัค
แต่กรณีเหล่านี้เป็น ข้อยกเว้น
สำหรับประเทศส่วนใหญ่ การเมืองระหว่างประเทศกำลัง ย้อนกลับสู่การเผชิญหน้าทางยุทธศาสตร์แบบศตวรรษที่ 18 — เป็นการต่อสู้ที่นองเลือดก็จริง แต่ไม่ใช่การทำลายล้างโดยสิ้นเชิง แนวคิดเรื่อง “การล้างบางศัตรู” ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 ดูเหมือนจะไม่มีวันหวนคืน
ความยืดหยุ่นท่ามกลางความไร้ระเบียบ (Resilience in Disorder)
ความไม่มั่นคงที่แพร่หลายทั่วโลกในวันนี้ แสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้นอย่างลึกซึ้งและครอบคลุม
แต่ในขณะเดียวกัน ก็เกิด “ความย้อนแย้ง” (Paradox) ขึ้นเช่นกัน: โลกยุคใหม่กลับแสดงให้เห็นถึง “ความยืดหยุ่น” อย่างน่าประหลาด มันอาจโอนอ่อนภายใต้แรงกดดัน แต่ ยังไม่แตกสลาย
ความยืดหยุ่นนี้ ไม่ได้เกิดจากความโหยหาในระเบียบที่ชาติตะวันตกเป็นผู้สร้าง และไม่ได้เกิดจากความต้องการที่จะ “รักษาสถาบันเก่าแก่” ที่หมดอายุไปแล้ว แต่กลับเกิดจาก ความซับซ้อนของโลกยุคปัจจุบัน และ การพัฒนาภายในของรัฐแต่ละประเทศ ที่ทำให้ระบบโดยรวมสามารถยืนหยัดได้
แม้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีศูนย์กลางที่แท้จริง และเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ความยืดหยุ่นจึงไม่ใช่ “กลยุทธ์” แต่คือ “ความจำเป็น” (Resilience is Not a Strategy, But a Necessity)
รัฐบาลในยุคปัจจุบันจำเป็นต้องปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงที่ตนไม่สามารถควบคุมได้ พวกเขาไม่อาจนำระเบียบเดิมกลับมาได้ — แต่ก็ไม่สามารถจ่ายต้นทุนของ “การปฏิวัติ” ได้เช่นกัน ผลลัพธ์ จึงกลายเป็นการ “ยืนหยัดดื้อรั้น” (Stubborn endurance)
เป็นความพยายามจะประคับประคองต่อไป แม้จะไม่มีฐานรากที่มั่นคง นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม นโยบายต่างประเทศในปัจจุบันจึงดูคล้ายละครเวที — เต็มไปด้วยการเคลื่อนไหวไม่หยุดหย่อน, วิกฤตซ้ำแล้วซ้ำเล่า, และวาทกรรมที่เต็มไปด้วยภัยคุกคามและศัตรู
แต่ในความเป็นจริง ประเทศต่าง ๆ กำลังหันกลับไปมุ่งเน้นที่ภายใน การเคลื่อนไหวภายนอกมักมีเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ภายใน แม้แต่ “ปฏิบัติการทางทหาร” ที่สร้างความเสียหายมหาศาล ก็ไม่ได้มุ่งหวังจะพิชิตโดยสิ้นเชิง
แต่เป็นเพียงการพยายาม รักษาเสถียรภาพภายใน — หรือ เบี่ยงเบนความสนใจจากจุดอ่อนภายใน
อนาคตในแบบศตวรรษที่ 18 (An 18th-Century Future)
หากแบบแผนนี้กลายเป็นบรรทัดฐานการเมืองระหว่างประเทศในอนาคตจะคล้ายกับศตวรรษที่ 18 มากกว่าศตวรรษที่ 20
การแข่งขันจะรุนแรง สงครามจะปะทุเป็นระยะแต่การพิชิตอย่างเบ็ดเสร็จจะเกิดขึ้นน้อยมาก“ระเบียบโลก” จะไม่ใช่โครงสร้างที่มั่นคงอีกต่อไป แต่เป็น “สมดุลชั่วคราว” ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยผู้เล่นทั้งรายใหญ่และรายเล็กต่างปรับตัวเพื่อความอยู่รอด
จุดจบของระเบียบเสรีนิยม (The End of the Liberal Order)
ชาติตะวันตก ได้สูญเสียการผูกขาดในการกำหนดกติกาโลก แม้จะยังกล่าวอ้างถึง “การปกป้องระเบียบเสรีนิยม” แต่ความเป็นจริงคือ ระเบียบเสรีนิยมนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว
ระเบียบใหม่ยังไม่อุบัติขึ้น พหุขั้วในปัจจุบันไม่ใช่ระบบ — แต่คือ “การไร้ระบบ”
สำหรับบางคน นี่คือสิ่งที่น่าหวาดกลัว แต่สำหรับอีกหลายคน มันคืออิสรภาพ
รายงาน Valdai สรุปว่า สิ่งที่โลกกำลังเผชิญอยู่ ไม่ใช่ “การล่มสลาย”
แต่คือ “การเปลี่ยนผ่าน” เป็นการปฏิวัติ ที่ไม่มีนักปฏิวัติ กลุ่มมหาอำนาจด้านบน ไม่สามารถสั่งการได้อีกต่อไป กลุ่มประเทศส่วนใหญ่ด้านล่าง ก็ไม่ต้องการลุกขึ้นต่อต้าน
โลกจึงติดค้างอยู่ตรงกลาง — วุ่นวาย แต่ไม่พังทลาย, ไม่มีเสถียรภาพ แต่กลับ “ยืดหยุ่น” อย่างน่าประหลาด
บทสรุป
นี่คือความจริงที่เราต้องยอมรับ:ระเบียบโลกเสรีนิยมได้จบลงแล้วและสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป — เรายังไม่อาจรู้
แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้แน่คือ:การเมืองระหว่างประเทศในอนาคตจะไม่ใช่เรื่องของกฎสากล
แต่คือเรื่องของ “การอยู่รอดของชาติ” (National survival)ความฝันเก่าเกี่ยวกับ “สันติภาพผ่านการครอบงำ” ได้สิ้นสุดลงสิ่งที่หลงเหลืออยู่คือการแข่งขันอันยืดเยื้อ – การขับเคี่ยวอย่างต่อเนื่อง
By Fyodor Lukyanov, editor in chief of Russia in Global Affairs