.
บทเรียนสงครามการค้าปี 2025 'เมื่อกำแพงภาษีมหาโหดของทรัมป์ ปะทะแผนรับมือสุดแกร่งของจีน'–ธุรกิจโลกต้องรื้อห่วงโซ่อุปทานใหม่
20-12-2025
SCMP รายงานว่า ปี 2025 กลายเป็นอีกหนึ่งปีที่ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา (US) กับจีน (China) สั่นสะเทือนอย่างหนัก ภายใต้สิ่งที่หลายฝ่ายเรียกว่า “สงครามการค้า 2.0” (trade war 2.0) โดยมาตรการภาษีตอบโต้กันไปมาและการใช้มาตรการควบคุมการส่งออก (export controls) ทำให้ตลาดโลกปั่นป่วน แต่ก็เผยให้เห็นทั้งความเปราะบางและศักยภาพการปรับตัวของธุรกิจและผู้กำหนดนโยบาย
จุดเปลี่ยนสำคัญเริ่มขึ้นในเดือนเมษายน เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประกาศขึ้นภาษี “แบบต่างตอบแทน” (reciprocal tariffs) ครอบคลุมเกือบทุกประเทศคู่ค้า เจ้าหน้าที่ในเมืองหนิงโป (Ningbo) ซึ่งเป็นฮับส่งออกสำคัญของจีนทางฝั่งตะวันออก เปรียบสภาพการรับมือเหมือน “อยู่ในภาวะสงคราม” ขณะที่อีกฟากหนึ่งของแปซิฟิก ผู้นำเข้าธาตุหายาก (rare earths) ในรัฐอินเดียนา (Indiana) ของสหรัฐฯ ก็เผชิญแรงกดดันไม่ต่างกัน ความไม่แน่นอนต่อมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากของปักกิ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในชุดตอบโต้ภาษีของทรัมป์ ทำให้บริษัทต้องเร่งมองหาแหล่งแม่เหล็กถาวรจากธาตุหายากนอกจีนอย่างเร่งด่วน
เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เจ้าหน้าที่ในหนิงโปเริ่มมั่นใจมากขึ้นว่าพวกเขาผ่าน “stress test” ของสงครามการค้าได้ในระดับหนึ่ง ผู้บริหารบริษัท Polaris Rare Earth Materials ในเมืองอินเดียแนโพลิส ก็ประเมินสถานการณ์ด้วยความกังวลที่ลดลงเล็กน้อย แม้ยังต้องชั่งน้ำหนักตัวเลือกภายใต้สภาพแวดล้อมที่ผันผวนมาก โดก แบร์รี (Doug Barry) ที่ปรึกษาด้านการค้าระหว่างประเทศและอดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ สรุปปีนี้ว่า “ธุรกิจต้องการความคาดการณ์ได้ ซึ่งไม่ใช่นิยามของปี 2025 เลย” พร้อมระบุว่าผู้ประกอบการและซีอีโอที่พึ่งพาตลาดจีนจำนวนมาก “ต้องนอนสะดุ้งกลางดึก” เพราะเผชิญกับระดับภาษีที่สูงผิดปกติ ช่องยกเว้นที่มีน้อย ใบอนุญาตที่เข้มงวด และมาตรการตอบโต้จากจีน โดยย้ำว่า “อุตสาหกรรมต่างกันได้รับผลกระทบต่างกัน แต่ความเจ็บปวดเกิดขึ้นในวงกว้าง”
ภาพรวมของปี 2025 คือการที่การแข่งขันด้านเทคโนโลยีและความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ยกระดับขึ้นหลังทรัมป์กลับเข้าสู่ทำเนียบขาวในเดือนมกราคม ภาษีศุลกากรพุ่งขึ้นถึงระดับ “สามหลัก” ในหลายกรณีจนเกือบเทียบได้กับการแบนทางการค้าโดยพฤตินัย ทั้งสองฝ่ายตอบโต้กันด้วยมาตรการควบคุมการส่งออกชิปและแร่หายาก ส่งผลให้ตลาดการเงินโลกผันผวนอย่างรุนแรง
แม้สถานการณ์จะร้อนแรง แต่การเจรจาระดับสูง 5 รอบก็ช่วยคลี่คลายในบางช่วง วอชิงตันและปักกิ่งตกลง “พักการขึ้นภาษีใหม่” เปิดทางสู่การประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง (Xi Jinping) กับทรัมป์ที่เกาหลีใต้ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ซึ่งผู้นำทั้งสองบรรลุความเข้าใจเบื้องต้นได้ ทำให้ตลาดโลกฟื้นตัวจากการร่วงลงก่อนหน้า และบางตลาดกลับมาบวกได้
อย่างไรก็ดี เมื่อปีใกล้สิ้นสุด ผู้เล่นทั้งรัฐและเอกชนในระบบเศรษฐกิจโลกยังตั้งคำถามอยู่ว่า การสั่นสะเทือนรอบนี้เพียงพอหรือไม่ในการ “รีเซ็ต” ระบบให้มั่นคงขึ้น หรือเพียงแค่พาพวกเขาย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นเดิมเท่านั้น จ้าว ซีจวิน (Zhao Xijun) ศาสตราจารย์ด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยเหรินหมิน (Renmin University) ในปักกิ่ง ระบุว่า ในสงครามการค้า 2.0 นี้ จีนและสหรัฐฯ “เดินคอเคียงคอ” กันมาโดยตลอด ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่สวนทางความคาดหวังในช่วงแรก เขามองว่าการเตรียมตัวของจีนหลังสงครามการค้า 1.0 รวมถึงการสร้าง leverage ในด้านแร่หายากทำให้วอชิงตันไม่อาจกดดันให้จีนยอมอ่อนข้อได้รวดเร็วแบบที่เคยทำกับประเทศอื่น
ในแง่ภาษี มาตรการของสหรัฐฯ ทำให้สินค้าจีนถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเป็น 20% ซึ่งช่วยลดหรือปิดช่องว่างความได้เปรียบด้านภาษีของจีนเมื่อเทียบกับฐานการผลิตในเอเชียอื่น เช่น เวียดนาม (Vietnam) เกาหลีใต้ (South Korea) และญี่ปุ่น (Japan) โดยเวียดนามเองก็เผชิญภาษีระดับ 20% และอาจถูกปรับขึ้นได้อีก 40% หากถูกมองว่าเป็นการใช้ช่องส่งออกเพื่อหลบภาษี (transshipment) ขณะที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นอยู่ในกรอบ 10–15%
ด้านจีน แม้จะเผชิญการขึ้นภาษีเป็นระยะ แต่การค้าโดยรวมยังเติบโตได้จากความต้องการของตลาดใหม่ การเกินดุลการค้าของจีนในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2025 ทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs คาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะยังเพิ่มขึ้นต่อไป จากแรงหนุนของการเติบโตเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง และนโยบายผลักดันการพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยีของรัฐบาลปักกิ่ง
แรงกระแทกจากมาตรการควบคุมการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ ช่วงแรกในสมัยทรัมป์ก่อนหน้า ทำให้ฝ่ายจีนใช้เวลาหลายปีเตรียมเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานรองรับความขัดแย้งรอบใหม่ หลุยส์-แว็งซ็องต์ กาฟ (Louis-Vincent Gave) นักวิเคราะห์จาก Gavekal Research ระบุว่า ปักกิ่งจึงอยู่ในสถานะที่พร้อมต่อกรกับมาตรการคว่ำบาตรจากวอชิงตันมากขึ้น ขณะที่ตลาดหุ้นจีนเองก็ให้ผลตอบแทนเหนือกว่าช่วงก่อนหน้า เขาชี้ว่า ระยะปี 2018–2024 ความตึงเครียดทำให้จีนถูกมองเป็น “ตลาดลงทุนไม่ได้” (uninvestible) และสหรัฐฯ ถูกยกย่องว่า “พิเศษ” แต่ภูมิทัศน์ดังกล่าวได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้
สำหรับฝั่งหนิงโป เฉียว อวี่ (Qiao Yu) รองผู้อำนวยการศูนย์บริการการค้าต่างประเทศ ภายใต้สำนักพาณิชย์เทศบาลเมือง ระบุว่าการปรับตัวถือเป็น “ชัยชนะที่ได้มายาก” เธอชี้ว่า แม้การเจรจาทำให้ภาษีส่วนใหญ่ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่การกลับมาสู่จุดใกล้เคียงกับช่วงก่อนทรัมป์ชนะเลือกตั้งสมัยสองในเดือนพฤศจิกายน 2024 ก็ไม่ได้หมายความว่าบาดแผลทั้งหมดจะถูกลบเลือนไป เฉียวเล่าว่าช่วงก่อนหน้า เจ้าหน้าที่การค้าและผู้ส่งออกที่เน้นตลาดสหรัฐฯ ต้องทำงานเป็นกะเพื่อติดตามประกาศและโพสต์บนโซเชียลมีเดียของทรัมป์อย่างใกล้ชิด รวมถึงตามข่าวการเจรจาทุกยก
ในการเจรจาแต่ละรอบ ซึ่งจัดขึ้นที่เจนีวา ลอนดอน สตอกโฮล์ม มาดริด และกัวลาลัมเปอร์ รองนายกรัฐมนตรีเหอ ลี่เฟิง (He Lifeng) และผู้เจรจาการค้าคนสำคัญ หลี่ เฉิงกั้ง (Li Chenggang) ของจีน มักใช้เวลา 2 วันเต็มในห้องปิดเจรจาเข้มข้นกับรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) และผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เจมสัน เกรียร์ (Jamieson Greer) โดยรอบสุดท้ายได้ปูทางสู่การพบกันของสีและทรัมป์ในเกาหลีใต้ เบสเซนต์กล่าวกับผู้สื่อข่าวหลังการหารือว่า วอชิงตัน “รักษาท่าทีแข็งกร้าว” ขณะที่ปักกิ่งก็ “ยืนกรานปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง”
กลยุทธ์สำคัญของหนิงโปในปีนี้คือ “การกระจายตลาด” (diversification) เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาสหรัฐฯ แม้จะยอมรับว่ามีต้นทุน เฉียวระบุว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2025 การส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดของเมือง ลดลง 8.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แม้ภาพรวมการส่งออกทั้งหมดจะยังเติบโต 8.2% การค้ากับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง และประเทศในกรอบ Belt and Road (BRI) ต่างให้ตัวเลขเติบโตสองหลัก แต่การเติบโตของ GDP เมืองหนิงโปยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในช่วงสามไตรมาสแรก ในระดับประเทศ การส่งออกของจีนในช่วง 11 เดือนแรกเติบโต 6.2% โดยส่งออกไปประเทศใน Belt and Road คิดเป็นกว่าครึ่งของยอดรวมทั้งหมด
เฉียวสรุปว่าธุรกิจจีน “คุ้นชินมากขึ้น” กับความประหลาดใจจากทรัมป์ และหลังผ่านปี 2025 “เกณฑ์ที่ทำให้ตื่นตระหนก” ก็จะสูงกว่าเดิมมาก เธอเชื่อว่า ทรัมป์จะ “ไม่สามารถสร้างความเสียหายที่มากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว” แต่ก็เตือนว่าความเสี่ยงยังคงอยู่ โดยเฉพาะผู้ส่งออกจีนที่บุกตลาดเกิดใหม่ ซึ่งต้องเผชิญส่วนต่างกำไรที่น้อยลง การแข่งขันรุนแรงขึ้น และกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ต่างจากตลาดสหรัฐฯ ที่มีความเป็นระบบมากกว่า
ฝั่งธุรกิจอเมริกันเองก็เร่งหาทางกระจายฐานการผลิตและซัพพลายเออร์ แม้จะพบว่าการลดการพึ่งพาจีนเป็นเรื่องยาก เพราะห่วงโซ่อุปทานของจีนฝังลึกและมีความซับซ้อน โดยเฉพาะในภาคแร่หายาก ซึ่งจำเป็นต่อสินค้าทางเทคโนโลยีขั้นสูงตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงอาวุธและอากาศยาน
ข้อมูลจาก Morgan Stanley ระบุว่า จีนถือครองสัดส่วนสำรองแร่หายากในโลกประมาณ 49% สัดส่วนการผลิตจากเหมือง 69% และสัดส่วนการผลิตแร่หายากที่ผ่านการแปรรูปแล้ว 88% นอกจากนี้ จีนยังครองส่วนแบ่งการผลิตแม่เหล็กถาวรจากแร่หายากถึง 90% ซึ่งเป็นช่วงในห่วงโซ่ที่ “ยากที่สุดที่จะสร้างทดแทน” เนื่องจากต้องใช้ความรู้เชิงเทคนิคสูง
ด้านทรัมป์ พยายามอธิบายสงครามภาษีว่าเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาดุลการค้า แต่ตัวเลขจนถึงขณะนี้ยังไม่สะท้อนความสำเร็จดังกล่าว ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2025 ดุลขาดดุลสินค้าและบริการของสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 112.6 พันล้านดอลลาร์ หรือ 17.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2024 ตามข้อมูลกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ โดยสาเหตุหลักมาจากการนำเข้าที่โตเร็วกว่าส่งออก
แบร์รีมองว่าการ “ละลายความแข็งกร้าว” ล่าสุดระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่งส่งสัญญาณเชิงบวก เขาระบุว่า ความหวังการรีเซ็ตความสัมพันธ์ถูกขับเคลื่อนด้วยการโทรศัพท์ระหว่างผู้นำและคำเชิญเยือนเมืองหลวงซึ่งกันและกัน แม้การเยือนเหล่านั้นยังอยู่ในขั้นรอการยืนยัน แต่ก็ยังเปิดช่องให้ผู้นำที่มองโลกผ่านเลนส์ธุรกรรมอย่างทรัมป์และสี สามารถตกลงกันได้อย่างน้อย “ให้กลับไปสู่สภาพก่อนสงครามการค้า”
สเปนเซอร์จาก Polaris เชื่อว่าการฟื้นความสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องเกินจริง โดยมองว่า “ท้ายที่สุดแล้ว สองประเทศและโลกที่เหลือควรหาหนทางกลับไปค้าขายกันได้ดีกว่านี้ มันไม่ควรยากถึงเพียงนี้ แทนที่จะสร้างทางออกที่ทุกฝ่ายพอรับกันได้ เรากลับกลายเป็นว่าทุกฝ่ายกำลังเสียประโยชน์ร่วมกัน”
ในเดือนพฤศจิกายน ทรัมป์ได้โทรศัพท์หารือกับสี และต่อมาแจ้งว่าจะเดินทางเยือนจีนในเดือนเมษายนตามคำเชิญของผู้นำจีน หนึ่งวันถัดมา เบสเซนต์เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจเยือนจีนอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน 2026 เนื่องในโอกาสการประชุมสุดยอดเอเปก (APEC) ที่จีนเป็นเจ้าภาพ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะทำให้มีโอกาสพบกันแบบตัวต่อตัวระหว่างผู้นำทั้งสองถึงสี่ครั้งในปีหน้า
ในจีนเอง เสียงเรียกร้องให้รักษาความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ ก็กลับมาเข้มข้นขึ้น สื่อของรัฐในมณฑลเจ้อเจียง (Zhejiang) เผยแพร่บทความเตือนผู้ส่งออกถึงความสำคัญของตลาดสหรัฐฯ โดยย้ำว่าสหรัฐฯ ยังเป็น “ตลาดผู้บริโภคเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเกือบทุกหมวดสินค้า” และหากผู้ส่งออกสามารถครองส่วนแบ่งเพียงเล็กน้อยแต่มั่นคงในตลาดดังกล่าว ก็เพียงพอให้ปริมาณและอัตรากำไรเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ พร้อมตั้งคำถามว่า “จะมีตลาดไหนดีกว่าสหรัฐฯ ได้อีกหรือ”
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์เตือนว่า แม้การรีเซ็ตภาษีจะเป็นไปได้ แต่การแข่งขันเชิงเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ–จีน โดยเฉพาะในด้านชิปขั้นสูงและอุปกรณ์ผลิตชิป จะยังดำเนินต่อไป และปักกิ่งเองก็จะระมัดระวังอย่างมากในการผ่อนคลายมาตรการควบคุมแร่หายาก นักวิเคราะห์จาก Gavekal Technologies นำโดยอาร์เธอร์ โครเบอร์ (Arthur Kroeber) ชี้ว่า ปัญหารากฐานคือ “ข้อตกลงเชิงการเมืองระหว่างทรัมป์–สี ยังเป็นเพียงการปิดรอยร้าวชั่วคราวทับบนการแข่งขันเชิงเทคโนโลยีและภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความเข้มข้นขึ้นทุกวัน” ทำให้สิ่งที่โลกเห็นในปี 2025 เป็นเพียง “ช่วงหยุดพัก” ของสงครามการค้า มากกว่าจะเป็นสันติภาพทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.scmp.com/economy/china-economy/article/3336670/surviving-shocks-what-china-and-us-learned-2025s-trade-war?module=China%20Economy&pgtype=section