.

ฮ่องกง'เร่งสร้างความเป็นผู้นำ stablecoin พร้อมกฎหมายใหม่ ท้าทายระบบตรึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
21-6-2025
ฮ่องกงกำลังเร่งสร้างความเป็นผู้นำในตลาด stablecoin ด้วยการผลักดันกฎหมาย stablecoin ฉบับใหม่ที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนสิงหาคม 2025 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาศูนย์กลางสกุลเงินดิจิทัลในภูมิภาคเอเชีย พร้อมเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินต่างประเทศออก stablecoin ในฮ่องกงได้ โดยมีเป้าหมายลดความกังวลเกี่ยวกับระบบตรึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (Dollar Peg) ที่ฮ่องกงใช้มานานกว่า 42 ปี
พอล ชาน (Paul Chan) รัฐมนตรีกระทรวงการคลังฮ่องกง กล่าวว่า แม้ว่าตลาดโลกจะจับตาการตรึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐของฮ่องกงอย่างใกล้ชิด แต่ความสนใจของเขาอยู่ที่อนาคตเศรษฐกิจของเมืองในอีก 40 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะการใช้ stablecoin ที่จะช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินและส่งเสริมนวัตกรรม
ดอลลาร์ฮ่องกงยังคงเผชิญความผันผวนอย่างรุนแรงท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) และทิศทางของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีแผนที่จะเลิกตรึงค่าเงินในช่วงนี้ แต่ความวุ่นวายทางการเงินในยุคหลังทรัมป์ได้เพิ่มแรงกดดันต่อระบบตรึงค่าเงินนี้อย่างมาก
ความน่าสนใจอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย stablecoin ฉบับใหม่ของฮ่องกง ซึ่งจะขยายระบบการออกใบอนุญาตสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล และนำระบบ “แบบจำลองเปิด” (open model) มาใช้ เพื่อดึงดูดสถาบันการเงินต่างประเทศให้เข้ามาออก stablecoin ในฮ่องกง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างข้อได้เปรียบเหนือสหรัฐอเมริกาและสิงคโปร์ในตลาดการชำระเงินระดับโลก
พอล ชาน (Paul Chan) คาดว่ามูลค่าตลาด stablecoin ทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ 240,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 20 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2024
สำนักงานการเงินฮ่องกง (Hong Kong Monetary Authority: HKMA) ระบุว่ากฎหมายนี้จะช่วยเสริมกรอบการกำกับดูแลกิจกรรมสินทรัพย์เสมือนที่มีอยู่แล้ว เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพทางการเงินและสนับสนุนนวัตกรรมทางการเงินในฮ่องกง
ฮ่องกงเป็นหนึ่งในพื้นที่แรกๆ ที่เริ่มกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเป็นทางการ โดยในปี 2023 ได้เปิดตัวระบบออกใบอนุญาตสำหรับบริษัทคริปโตที่ดำเนินการในฮ่องกง โดยกำหนดมาตรฐานเพื่อคุ้มครองนักลงทุนรายย่อย
เย่เฟิง กง (YeFeng Gong) ผู้อำนวยการด้านความเสี่ยงและกลยุทธ์ของ HashKey OTC ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า “นโยบาย stablecoin ใหม่ของฮ่องกงตั้งมาตรฐานระดับโลก ด้วยการกำหนดให้มีการสำรองเงินเต็มจำนวน การรับประกันการไถ่ถอนที่เข้มงวด และการกำกับดูแลโดย HKMA”
แนวคิดหลักคือเมื่อมีระบบการชำระเงินบนบล็อกเชนที่รองรับการชำระเงินระหว่างบริษัทและผู้บริโภคทั่วโลก ผลกระทบจากการคว่ำบาตร ภาษีศุลกากร และข้อจำกัดทางการค้าอื่นๆ จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในทางทฤษฎี ประชาชนทั่วไปอาจสามารถใช้ stablecoin ดอลลาร์ฮ่องกงเพื่อชำระเงินซื้อสินค้าจากต่างประเทศผ่านแอปพลิเคชันอย่าง Alipay ของ Alibaba Group ได้ภายในปีหน้า โดยอัตราแลกเปลี่ยนจะลดลงจนเกือบเป็นศูนย์
นี่คือความท้าทายที่ธนาคารหลายแห่งและสหรัฐอเมริกากำลังวิตกกังวล
ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯ จะใช้ stablecoin เพื่อรักษาอำนาจของดอลลาร์ในตลาดการชำระเงินและปกป้องสถานะสกุลเงินสำรองโลก “ตามคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ เราจะรักษาดอลลาร์ให้เป็นสกุลเงินสำรองที่มีอำนาจเหนือโลก และจะใช้ stablecoin เพื่อทำเช่นนั้น” เบสเซนต์กล่าว อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ กำลังเผชิญปัญหากับเงิน “เฟียต” โดยการประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่ลดลง ในขณะที่ปริมาณหนี้ใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Moody’s Investors Service ได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ จาก AAA เนื่องจากหนี้สาธารณะใกล้แตะ 37 ล้านล้านดอลลาร์ เรย์ ดาลิโอ (Ray Dalio) ผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates ชี้ว่าเส้นทางการคลังของวอชิงตันมีความเสี่ยงมากกว่าที่รับรู้กัน
มาร์ค เฮเฟเล (Mark Haefele) หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ UBS Global Wealth Management กล่าวว่า “แม้การขายพันธบัตรสหรัฐฯ หลังการลดอันดับของ Moody’s จะยังไม่มากนัก แต่ผลตอบแทนพันธบัตรกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน เนื่องจากการเจรจางบประมาณที่เข้มข้นขึ้น”
ในการศึกษาวิจัยเดือนพฤษภาคม 2025 ซัง แร คิม (Sang Rae Kim) นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Kyung Hee พบว่า การออก stablecoin ขนาดใหญ่ส่งผลให้ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แม้ทีมงานของพอล ชาน (Paul Chan) จะวางแผนอนาคต แต่ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังสร้างความท้าทายอย่างมาก โดยเฉพาะการที่ฮ่องกงต้องอยู่ระหว่างความขัดแย้งนี้
การตรึงค่าเงินฮ่องกงกับดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็น “การค้าที่ยากจะชนะ” (widow maker trade) ที่นักเก็งกำไรหลายราย เช่น จอร์จ โซรอส (George Soros) และไคล์ บาสส์ (Kyle Bass) ได้ทดสอบมาเป็นเวลานาน โดย HKMA สามารถรักษาอัตราแลกเปลี่ยนไว้ได้ด้วยการแทรกแซงตลาดอย่างเข้มงวด ความมั่นคงของการตรึงค่าเงินนี้ช่วยให้ธนาคารเพื่อการลงทุน ผู้ส่งออก และผู้ประกอบการมั่นใจที่จะตั้งสำนักงานใหญ่ในฮ่องกง และถือเป็น “อาวุธลับ” ของเมืองนี้ อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์โจว ลัวฮัว (Zhou Luohua) จากมหาวิทยาลัยเหรินหมินของจีน เตือนว่า การตรึงค่าเงินเป็นจุดอ่อนของเศรษฐกิจฮ่องกง เพราะหากราคาทรัพย์สินลดลง HKMA จะไม่สามารถจัดหาสภาพคล่องได้เพียงพอเหมือนธนาคารกลางสหรัฐฯ เนื่องจากความสามารถในการจ่ายเงินขึ้นอยู่กับเงินสำรองดอลลาร์สหรัฐ
โจเซฟ ยาม (Joseph Yam) อดีตหัวหน้าสำนักงานการเงินฮ่องกง เสนอให้ยกเลิกการตรึงค่าเงินเพื่อให้ฮ่องกงสามารถปกป้องตัวเองได้ดีขึ้นในช่วงวิกฤต โดยเตือนว่าการรักษาสถานะเดิมอาจทำให้ราคาที่อยู่อาศัยแพงขึ้น และทำให้ฮ่องกงกลายเป็นแค่เครื่องมือเก็งกำไรระหว่างนักลงทุนสหรัฐฯ และจีน
แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลง แต่โอกาสที่ฮ่องกงจะละทิ้งการตรึงค่าเงินในเร็วๆ นี้ยังต่ำ เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน อย่างไรก็ตาม การพัฒนาสินทรัพย์ดิจิทัลและ stablecoin อาจเป็นทางเลือกใหม่ที่จะช่วยให้ฮ่องกงฟื้นฟูบทบาททางการเงินและลดความเสี่ยงจากระบบเศรษฐกิจแบบเดิมได้อย่างรวดเร็ว
---
IMCT NEWS
ที่มา https://asiatimes.com/2025/06/hong-kongs-stablecoin-moment-eclipses-dollar-peg-debate/
Image: X Screengrab