.

วิเคราะห์! แผนการณ์จีนปี'25 สี จิ้นผิง'ชิงอำนาจเอเชีย-แปซิฟิก ไต้หวัน-ญี่ปุ่นอยู่ในเป้า กดดันสหรัฐฯ ถอย
5-2-2025
สถานการณ์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ หลังจากปี 2024 ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย โดยปี 2025 มีแนวโน้มจะเผชิญความไม่แน่นอนมากขึ้น ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนที่กำลังเดิมพันชื่อเสียงกับการผนวกไต้หวัน
แม้จีนจะเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจ แต่สี จิ้นผิงยังคงมีกองทัพที่แข็งแกร่งหนุนหลัง โดยมุ่งเป้าไปที่ไต้หวันเป็นสำคัญ ด้วยการใช้แรงกดดันทางทหาร ควบคู่กับปฏิบัติการบ่อนทำลายและจารกรรม รวมถึงใช้สภานิติบัญญัติที่ควบคุมโดยพรรคก๊กมินตั๋งฝ่ายค้านสร้างความยากลำบากให้กับประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP)
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า สี จิ้นผิงสามารถสั่งการโจมตีไต้หวันได้ทุกเมื่อที่ต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องรออีก 2 ปี ขณะเดียวกัน จีนยังเพิ่มแรงกดดันต่อฟิลิปปินส์ผ่านการใช้กำลังจากหน่วยยามฝั่ง กองทัพเรือปลดแอกประชาชน และกองกำลังทางทะเล เพื่อยึดครองพื้นที่ทางทะเลของฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้น
ในเกาหลีใต้ กลุ่มฝ่ายซ้ายที่สนับสนุนเกาหลีเหนือและจีน รวมถึงมีแนวคิดต่อต้านสหรัฐฯ กำลังพยายามสถาปนารัฐพรรคเดียว ซึ่งจีนให้การสนับสนุนการบ่อนทำลายสังคมเสรีและพันธมิตรเกาหลีใต้-สหรัฐฯ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้-ญี่ปุ่นที่ประธานาธิบดียุนสร้างขึ้นเริ่มสั่นคลอน
ญี่ปุ่นก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายของสี จิ้นผิง โดยจีนจะเพิ่มปฏิบัติการรอบหมู่เกาะเซนกากุและหมู่เกาะนันเซอิโชโตะทางตอนใต้ของญี่ปุ่น เพื่อสร้างความเสียเปรียบให้กับญี่ปุ่นก่อนถึงเวลาโจมตีไต้หวัน ขณะที่รัสเซียภายใต้การนำของปูตินก็จะร่วมกดดันญี่ปุ่นด้วย โดยได้รับการสนับสนุนจากเกาหลีเหนือที่นำโดยคิม จองอึน
สี จิ้นผิงยังใช้กลยุทธ์ทางการทูตผ่านกลุ่มชนชั้นนำญี่ปุ่นที่สนับสนุนจีน เสนอข้อตกลงต่างๆ ซึ่งได้ผลกับผู้นำญี่ปุ่นหลายคน รวมถึงนายกรัฐมนตรีอิชิบะ ทำให้ญี่ปุ่นเสียสมาธิในการเสริมสร้างระบบป้องกันประเทศที่เหมาะสม
นอกจากนี้ จีนยังขยายอิทธิพลในหมู่เกาะแปซิฟิก แทรกซึมเข้าไปในเกือบทุกประเทศและดินแดน รวมถึงเขตอิทธิพลของสหรัฐฯ คล้ายกับยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่นในทศวรรษ 1920-1930 ที่มุ่งครอบงำและขับไล่สหรัฐฯ ออกจากภูมิภาค
ด้านสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเข้ามาแทนที่รัฐบาลไบเดน กำลังพิจารณามาตรการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีน โดยมีมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ และไมค์ วอลทซ์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ตระหนักถึงภัยคุกคามจากจีนมานาน เป็นแกนนำสำคัญ
รูบิโอเคยสร้างความหวาดกลัวให้ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน จากการเรียกร้องให้หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ รายงานทรัพย์สินในต่างประเทศของผู้นำพรรคฯ รวมถึงสี จิ้นผิง ขณะที่พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหม เรียกร้อง "สันติภาพผ่านความแข็งแกร่ง" และเรียกจีนว่า "จีนคอมมิวนิสต์" โดยตรง
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคนในกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กลับสนับสนุน "วงจรความร่วมมือ" กับจีน โดยเสนอให้สหรัฐฯ ลดกำลังทหารในภูมิภาค แลกกับการตอบสนองจากจีน ซึ่งนโยบายนี้อาจส่งผลร้ายแรงต่อสถานะของสหรัฐฯ ในภูมิภาค เช่นเดียวกับที่นโยบายการเงินสมัยใหม่ (MMT) ทำลายเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
ความไม่แน่นอนยังมาจากบทบาทของอีลอน มัสก์ และเทสลา ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน ซึ่งอาจส่งผลต่อนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ต่อจีน
สำหรับญี่ปุ่น แทนที่จะกังวลว่าทรัมป์จะเรียกร้องเงินสนับสนุนกองกำลังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ควรเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์โดยลำพัง แม้จะไม่สามารถจัดการทุกอย่างได้ แต่ยังดีกว่าพึ่งพาสหรัฐฯ จนผิดปกติ
ญี่ปุ่นกำลังพยายามสร้างพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศกับออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ อินเดีย และอิตาลี แต่ยังขาดอำนาจทางทหารที่แข็งแกร่ง ซึ่งมีเพียงสหรัฐฯ เท่านั้นที่มี
ขณะนี้ แทนที่จะเตรียมการรับมือสงครามไต้หวัน รัฐบาลญี่ปุ่นกลับมุ่งเน้นการอพยพประชาชนจากหมู่เกาะนันเซอิโชโตะหากเกิดวิกฤต ซึ่งไม่ใช่วิธีที่จะนำไปสู่ชัยชนะในสงคราม
หากญี่ปุ่นต้องการ "ชิงอำนาจ" จากทรัมป์ ควรให้เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นนัดพบผู้นำด้านการต่างประเทศและความมั่นคงของสหรัฐฯ เพื่อเสนอความร่วมมือ แม้จะช้าไป 5 ปี แต่ยังดีกว่ารอจนถึงปี 2026 ซึ่งอาจสายเกินไป
(เขียนโดย แกรนท์ นิวแชม อดีตนาวิกโยธินและนักการทูตสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่ประสานงานนาวิกโยธินคนแรกประจำกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น นักวิจัยศูนย์นโยบายความมั่นคงและสถาบันยอร์กทาวน์ )
---
IMCT NEWS // Photo Xinhuathai
ที่มา https://asiatimes.com/2025/02/xis-china-guarantees-asia-pacific-another-year-of-rough-sailing/