.

นอร์เวย์-รัสเซีย ผชิญความตึงเครียดในเขตอาร์กติก 'สวาลบาร์ด' เส้นทางทะเลใหม่-สมรภูมิยุทธศาสตร์ 'สถานีดาวเทียมที่ใหญ่ที่สุดในโลก'
9-9-2025
Bloomberg นำสเนอบทวิเคราะห์ว่า บนที่ราบสูงที่หนาวเหน็บเหนือเมืองที่อยู่เหนือสุดของโลก โดมสีขาวรูปทรงกลมจำนวนมากตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหิมะในแถบอาร์กติก ที่นี่คือสถานีภาคพื้นดินดาวเทียมที่ใหญ่ที่สุดในโลก
สถานีแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ Svalsat ซึ่งตั้งอยู่บนหมู่เกาะสวาลบาร์ด (Svalbard) ของนอร์เวย์ ประกอบไปด้วยโดมวิทยุ (Radomes) 170 ลูก ภายในมีจานรับสัญญาณขนาดมหึมาที่ทำหน้าที่ติดตามและสื่อสารกับดาวเทียมเพื่อดาวน์โหลดข้อมูลที่ใช้ในการพยากรณ์อากาศ, การวิจัยสภาพภูมิอากาศ, การเฝ้าระวังทางทะเล, การนำทาง และการค้นหาและกู้ภัย สถานี Svalsat เป็นปัจจัยสำคัญที่ตอกย้ำถึงความสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นของหมู่เกาะสวาลบาร์ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ความตึงเครียดระหว่างนอร์เวย์ ซึ่งเป็นสมาชิกของนาโต (NATO) กับรัสเซียทวีความรุนแรงขึ้น
ดินแดนที่เปราะบางภายใต้แรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์
รัฐบาลนอร์เวย์ได้ออก "ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ" ฉบับแรกในเดือนพฤษภาคม โดยระบุว่า "สถานการณ์ในเขต High North (ขั้วโลกเหนือ) ได้เปลี่ยนแปลงไป" พร้อมเสริมว่า "คู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นกำลังขยายความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของภูมิภาคอาร์กติก" แม้ว่าความสัมพันธ์กับกรุงมอสโก (Moscow) ในภูมิภาคนี้จะเคยมีเสถียรภาพ แต่ปัจจุบัน "เพื่อนบ้านของเราทางตะวันออกอันตรายยิ่งขึ้น" โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาบสมุทรโกลา (Kola peninsula) ซึ่งเป็นฐานสำคัญของขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์ของรัสเซียตั้งอยู่ใกล้กับสวาลบาร์ดทางตะวันออกเฉียงใต้
นายเทร์เย่ ออเนอวิก (Terje Aunevik) นายกเทศมนตรีเมืองลองเยียร์เบียน (Longyearbyen) เมืองหลวงของสวาลบาร์ด ที่มีประชากรราว 2,500 คน กล่าวว่ามีการเดินทางมาเยือนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นับตั้งแต่การรุกรานยูเครนของรัสเซีย ประเด็นหลักจากเรื่องสภาพภูมิอากาศได้เปลี่ยนมาเป็นเรื่องความมั่นคงมากขึ้น
สองโลกในหนึ่งหมู่เกาะ
หมู่เกาะสวาลบาร์ดมีสถานะทางกฎหมายที่เป็นเอกลักษณ์ภายใต้สนธิสัญญาสวาลบาร์ดปี 1920 ที่ให้สิทธิ์แก่ทุกชาติสมาชิกในการทำกิจกรรมเชิงพาณิชย์และวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ทำให้สวาลบาร์ดกลายเป็นที่ตั้งของชุมชนรัสเซียในเมือง บาเรนต์สเบิร์ก (Barentsburg) ซึ่งเป็นเมืองของบริษัทที่บริหารโดย Trust Arktikugol ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลรัสเซีย
ในขณะที่ลองเยียร์เบียน (Longyearbyen) กำลังจะปิดเหมืองถ่านหินแห่งสุดท้าย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ที่เน้นการท่องเที่ยวและการวิจัย แต่ที่เมืองบาเรนต์สเบิร์ก (Barentsburg) ยังไม่มีแผนจะปิดเหมือง ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าไม่ได้มีเหตุผลเชิงพาณิชย์ แต่เป็น "คำประกาศเชิงยุทธศาสตร์" ท่ามกลางการแข่งขันเพื่อครอบครองอำนาจในอาร์กติก
นอกจากนี้ การบุกยูเครนของประธานาธิบดีปูติน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ทำให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้นระหว่างสองชุมชนในสวาลบาร์ด บริษัททัวร์ส่วนใหญ่ในลองเยียร์เบียน (Longyearbyen) ได้หยุดการนำนักท่องเที่ยวไปยังบาเรนต์สเบิร์ก (Barentsburg) เพื่อหลีกเลี่ยงการให้เงินสนับสนุนรัฐบาลรัสเซีย กิจกรรมแลกเปลี่ยนกีฬาระหว่างเยาวชนและงานฉลองวันชาติถูกยกเลิก ซึ่งส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองชุมชนที่เคยแนบแน่นต้องแยกออกจากกัน
วิกฤตอัตลักษณ์ของชุมชน
ลองเยียร์เบียน (Longyearbyen) เผชิญกับวิกฤตอัตลักษณ์อย่างรุนแรง เนื่องจากชุมชนที่เคยเป็นเมืองเหมืองแร่ได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เน้นสิ่งแวดล้อมและมีความทันสมัย แต่เมืองแห่งนี้ยังคงเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพที่สูงขึ้นหลังจากการปิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน รวมถึงปัญหาที่อยู่อาศัยที่หายากและต้นทุนที่สูงลิ่วจากการละลายของชั้นดินเยือกแข็งถาวร (Permafrost) ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสาฐานรากของอาคารต่างๆ
ชาวบ้านในพื้นที่ได้แสดงความรู้สึกไม่สบายใจถึงอนาคตที่ไม่แน่นอนของเมืองนี้ นักขุดเหมืองอาวุโสกล่าวว่าการปิดเหมืองจะทำให้เกิดปัญหาในการดึงดูดครอบครัวให้มาตั้งถิ่นฐานในเมืองนี้ ในขณะที่ชาวเมืองลองเยียร์เบียน (Longyearbyen) ซึ่งเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับชาวรัสเซียแม้ในช่วงสงครามเย็น ก็ยอมรับว่าการรุกรานในปัจจุบันได้ทำให้ความผูกพันเหล่านั้นขาดสะบั้นลง
แม้จะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่ชาวเมืองลองเยียร์เบียน (Longyearbyen) ก็แสดงออกถึงความยืดหยุ่นที่น่าชื่นชม โดยพวกเขาหวังว่าเมื่อสงครามสิ้นสุดลง ความสัมพันธ์ระหว่างสองชุมชนจะสามารถกลับมาดำเนินต่อไปได้เหมือนเดิม
---
IMCT NEWS
ที่มาhttps://www.bloomberg.com/features/2025-arctic-russia-high-north-threat/?srnd=homepage-americas