.

‘มาริษ’ ย้ำ ไทย 'สำเร็จ-ได้เปรียบ' หลายด้าน ในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
1-8-2025
มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีต่างประเทศ ย้ำถึงความสำเร็จและความได้เปรียบของไทยในเวทีโลก ในการรับมือกับสถานการณ์ "ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา" มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ในวันพฤหัสบดี (31 ก.ค.) ย้ำประเทศไทยประสบความสำเร็จในเวทีการเมืองระหว่างประเทศในการรับมือกับสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา ซึ่งรายละเอียดของความสำเร็จและการดำเนินงานของกระทรวงการต่างประเทศ หน่วยงาน และเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายของประเทศไทย มีดังนี้
ด้านการเมืองระหว่างประเทศและการทูต
-ไทยย้ำจุดยืน "ยึดมั่นในสันติวิธีและกฎหมายระหว่างประเทศ" รวมถึงกฎบัตรสหประชาชาติและอาเซียน ด้านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC ก็สนับสนุนจุดยืนไทยในการใช้การเจรจาทวิภาคี
-หลังจากแถลงต่อ UNSC นั้น ถือว่าไทยได้เปรียบ ไม่ได้เสียเปรียบ เพราะที่ประชุมไม่ได้มีมติใด และแนะให้เป็นไปตามการเจรจาระหว่างประเทศ ย้ำสถานการณ์นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงระหว่างประเทศ ทั้งยังแสดงให้เห็นว่ากัมพูชาดำเนินการไม่สำเร็จตามที่ต้องการให้ยูเอ็นออกมติ
-มาริษย้ำ ตน ข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ และเอกอัครราชทูตไทยได้ชี้แจงและอธิบายข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นต่อประเทศพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง
-ที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศได้พบประธาน UNSC และเลขาธิการสหประชาชาติ ล่าสุดพบรัฐมนตรีต่างประเทศเวียดนามในวันพุธ (30 ก.ค.) และพูดคุยโทรศัพท์กับรัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นวานนี้ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงและจุดยืนในหลักการของไทย ซึ่งรมว.กต.ของญี่ปุ่นได้ขอบคุณที่ไทยแสดงจุดยืนชัดเจน และจะสนับสนุนการเจรจา พร้อมเผยญี่ปุ่นยินดีช่วยเหลือหากต้องการ
-มาริษพบ โรเบิร์ต เอฟ โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐเมื่อเช้าวันพฤหัสบดี (31 ก.ค.) ชี้แจงความคืบหน้าหลังบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ย้ำกัมพูชาละเมิดข้อตกลง โดยยิงเข้ามาในฝั่งไทยเป็นระยะเพื่อให้ไทยตอบโต้ในหลายจุด แต่ต้องขอบคุณทหารที่มีความอดทนอดกลั้นสูงสุด
-กระทรวงฯ ไม่เคยหยุดนิ่ง ดำเนินมาตรการทางการทูตผ่านช่องทางต่างๆ มากมาย ทั้งในกรอบของทวิภาคี พหุภาคี เวที/องค์การระหว่าง ประเทศ รวมถึงการดำเนินการจากส่วนกลาง และการดำเนินการผ่านสถานทูตไทยทั่วโลก
ด้านการทหาร
-ประเทศไทยได้เปรียบทางทหารมาก สามารถยึดคืนพื้นที่ได้ 11 จุด ที่อยู่ในอำนาจอธิปไตยไทย รัฐมนตรีมาริษได้กล่าวขอบคุณทหารทุกท่านที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญและขอแสดงความเสียใจต่อทหารที่เสียชีวิต
-รัฐมนตรีย้ำ กระทรวงต่างประเทศประสานงานทุกอย่างร่วมกันกับรัฐบาลและทหารอย่างดี พร้อมเสริมทุกหน่วยงานของไทย ทั้งกระทรวงต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย ทหาร ฯลฯ รวมมืออย่างแข็งขัน ทำให้ไทยได้เปรียบในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ
-ประเด็นการจับกุมทหารกัมพูชา มาริษยืนยัน การจับกุมมีสาเหตุมาจากทหารกลุ่มดังกล่าวละเมิดอธิปไตยไทย จึงต้องควบคุมตัวไว้ และในการควบคุมตัวไทยก็ปฏิบัติตามกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ
-ไทยจะส่งทหารกัมพูชากลับประเทศก็ต่อเมื่อมั่นใจว่าบุคคลเหล่านี้จะไม่กลับมาทำร้ายหรือโจมตีประเทศไทยอีก โดยอ้างอิงตามอนุสัญญาเจนีวา
-วันที่ 1 ส.ค. ไทยจะพาผู้ช่วยทูตทหารนานาประเทศไปสังเกตการณ์ในชายแดน ซึ่งความเสียหายต่างๆ จะเป็นหลักฐานสำคัญเพื่อให้มิตรประเทศเข้าใจว่าไทยปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศมาโดยตลอด ย้ำการที่กัมพูชาโจมตีเป้าหมายพลเรือนเป็นละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
การบรรลุข้อตกลงหยุดยิง
-การเจรจาที่มาเลเซีย เป็นการเจรทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา โดยมีประธานอาเซียนเป็นเจ้าภาพและเป็นพยานในการเจรจา รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากสหรัฐและจีน และการเจรจาที่มีพยานจากหลายฝ่ายนี้ทำให้กัมพูชาไม่สามารถบิดเบือนข้อมูลไม่ได้
-การเจรจาหยุดยิง แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่รัฐบาลพยายามจะผลักดันเพื่อยุติความสูญเสีย และให้กลับมาพูดคุยเจรจาทวิภาคีเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกันนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และสามารถทำให้กัมพูชายอมรับกลไกการหารือทวิภาคี
-การประชุม GCB วันที่ 4 ส.ค. นี้ มีเป้าหมาย 2 ประการคือ 1.การรักษาอำนาจปธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย โดยรมว.มาริษ ย้ำ ไทยจะไม่ยอมเสียอำนาจอธิปไตยและดินแดน และ 2.เพื่อรักษาความปลอดภัยให้พี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
-ไทยได้รับคำชมจากการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงว่า มีความกล้าหาญ และมีวุฒิภาวะ
ความเคลื่อนไหวของกัมพูชา
-กัมพูชาพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง นำเรื่องความขัดแย้งชายแดนไปพูดในที่ประชุมเกี่ยวกับ “อิสราเอล-ปาเลสไตน์” ซึ่งไม่ใช่ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับที่ประชุมดังกล่าว กัมพูชาใช้เวทีไม่ถูกต้องและทำให้เสียเวลา
-กัมพูชาพยายามเติมความข้อความเพิ่มเติมในแถลงการณ์ต่างๆ ทั้งๆ ที่ตอนแถลงไม่ได้ชี้แจงข้อมูลส่วนนั้น
-มาริษย้ำ ไทยได้ชี้แจง ตอบโต้ และประณามการกระทำของกัมพูชาที่บิดเบือนความจริงในหลายประเด็นอย่างต่อเนื่อง
-กัมพูชาพยายามทำสงครามข่าวสาร แต่เจ้าหน้าที่ไทยติดตามตลอด และได้แถลงการณ์ตอบโต้และชี้แจงต่อนานาชาติอยู่เสมอ
ที่มา Bangkokbiznews.com
-----------------------------
เปิดกำหนดการ 1 ส.ค. คณะทูต 23 ชาติ ลงพื้นที่ตรวจจุดเสียหายชายแดนไทย–กัมพูชา หลัง "ทหารเขมร" โจมตีพลเรือนไทย
1-8-2025
(31 ก.ค.) ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก (ศปส.ทบ.) นำคณะ ผู้ช่วยทูตทหาร 23 ประเทศ และสื่อมวลชน สังเกตการณ์พื้นที่พลเรือน โรงพยาบาล ที่ได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา วันที่ 1 ส.ค. 68 โดยเมื่อไปถึงพื้นที่ จะได้รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ ได้รับความเสียหาย การละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชา
จากนั้นเดินทางไปพื้นที่ทหารกัมพูชายิงจรวดใส่ร้านสะดวกซื้อ สถานีบริการนำมัน ปตท.บ้านมือ ต.หนองหญ้าลาดือ.กัทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งทำให้ประชาชนคนไทยเสียชีวิต 8 คน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กอายุ 7-8 ปี บาดเจ็บจำนวน 10 คน
จากนั้นเดินทางไป ร.ร.ภูมิชรอลวิทยา ต.เสาธงชัย เพื่อสังเกตการณ์ พื้นที่ได้รับความเสียหาย และเดินทางต่อไปยัง รพ.สต.บ้านชำเม็ง ต.เสาธงชัย สังเกตการณ์ พื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย ก่อนจะเดินทางต่อไปยังศูนย์พักพิง วิทยาลัยเทคโนโลยี กันทรลักษ์
สำหรับผู้ช่วยทูตทหารที่เดินทางไปร่วมสังเกตการณ์ในครั้งนี้ 23 ประเทศ อาทิ สวีเดน สาธารณรัฐประชาชนจีน มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา ปากีสถาน รัสเซีย สาธารณะประชาธิปไตยประชาชนลาว แคนาดา ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น เวียดนาม อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ บรูไน อินโดนีเซีย สิงคโปร์ อินเดีย เยอรมนี เกาหลีใต้ ปากีสถาน สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์
นอกจากนี้ยังมีสื่อมวลชนต่างประเทศ และสื่อมวลชนชาวไทยจำนวนมาก ที่ให้ความสนใจในการทำข่าวความจริงในครั้งนี้
ที่มา Mgronline.com