.

ใครแพ้ใครชนะ
ขออธิบายผลของการเจรจาภาษีระหว่างสหรัฐกับจีนที่เมืองเจนีวาว่าใครชนะใครแพ้
ก่อนวันที่ 2 เมษายนที่โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีในอัตรามหาโหดกับประเทศคู่ค้าท่ัวโลก เพื่อรีเซ็ตระบบการค้าโลก สินค้าจีนที่ส่งเข้าตลาดสหรัฐเจอกำแพงภาษีประมาณ20.8% ส่วนสินค้าสหรัฐที่ส่งเข้าตลาดจีนเจอกำแพงภาษีในอัตราพอๆกันที่20%
อัตราภาษีศุลกากรที่สูงนี้เป็นผลต่อเนื่องมาจากมาตรการภาษีในทรัมป์ในสมัย Trump 1.0 เพื่อลดความได้เปรียบของจีนในเรื่องดุลการค้า และถูกจีนตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ทำให้ภาษีศุลกากรอยู่ในระดับที่สูง ในขณะที่อัตราภาษีทีสหรัฐเก็บกับสินค้าจากประเทศอื่นๆรวมกันเฉลี่ยอยู่ที่อัตราเพียง2.5% ซึ่งเป็นผลจากการเจรจาการลดภาษีหลายรอบในกรอบขององค์การค้าโลกที่ต้องการให้ประเทศต่างๆลดกำแพงภาษี และอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีเพื่อส่งเสริมการค้าโลก
หลังจากวันLiberation Day ที่ทรัมป์ใช้มาตรการภาษีเพื่อจ้องเล่นงานการส่งออกของจีนโดยเฉพาะ ทำให้มีการตอบโต้ไปมา มีผลทำให้ทรัมป์ยกกำแพงภาษีต่อสินค้าจีนมากถึง145%ส่วนจีนกำหนดภาษีที่ 125%สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐ ด้วยอัตราภาษีนี้ การค้า และระบบซับไพลเชนระหว่างสองประเทศเกือบหยุดชะงักลงในเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ผลกระทบรุนแรงกว่าสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐที่ต้องพึ่งพาสินค้าจากจีนเป็นหลักในการบริโภค และสำหรับการผลิตภายใน ทำให้ตลาดบอนด์ ตลาดหุ้น และค่าเงินดอลล่าร์ดิ่งเหว ทำให้ทรัมป์ต้องกลับลำด้วยการประกาศลดอัตราภาษีลงเหลือ10%เป็นอัตราพื้นฐานสำหรับทุกประเทศเป็นเวลา90วัน ยกเว้นจีนที่ไม่ได้รับการยกเว้น ระหว่างนี้จะมีการเจรจาการค้าเพื่อลดการขาดดุลของสหรัฐ
ส่วนจีนมีสัดส่วนส่งสินค้าเข้าตลาดสหรัฐเพียง13-14%ของการส่งออกทั้งหมด และได้มีการกระจายความเสียงไปเพิ่มการค้าขายกับเอเชีย แอฟริกา ละตินอเมริกาแทนอยู่แล้ว สหรัฐมีหนี้สาธารณะสูงถึงเกือบ$37ล้านล้าน ทำให้ตลาดพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า$27ล้านล้านอ่อนไหวต่อการเทขาย อันเป็นผลพวงมาจากความเสี่ยงของสงครามการค้า หากบอนด์โดนขาย ยิลด์จะพุ่ง จะทำให้ภาระหนี้เพิ่ม และทำให้เศรษฐกิจโดยรวมเสียหายจนจะถลำลึกเข้าสุ่ภาวะดีเปรซชั่นได้
ทรัมป์อ่านเกมจีนผิด เหมือนกับที่ไบเดนอ่านเกมรัสเซียผิด เพราะเชื่อว่ามาตรการภาษีจะทำให้จีนที่เชื่อกับว่ามีความเปราะบางพังก่อน และจะทำให้ประเทศคู่ค้าอื่นๆหันหลังให้กับจีนหันมาคบกับสหรัฐเพื่อจะได้รับการผ่อนปรนด้านมาตรการภาษี แต่จีนมีความเข้มแข็งกว่าทีมงานทรัมป์ประเมิน เพราะว่ามีการกระจายความเสี่ยงออกจากการพึ่งพาตลาดสหรัฐไปแล้ว ปรากฎว่ามาตรการภาษีของทรัมป์จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐพังก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดบอนด์ ตลาดหุ้นและดอลล่าร์จะดิ่งเหว หากลากยาวเรื่องกำแพงภาษี ส่วนในกรณีของรัสเซีย การแซงชั่นรัสเซียของไบเดนที่มุ่งหวังให้เศรษฐกิจรัสเซียและระบอบปูตินพังทะลายกลับทำให้รัสเซียแข็งแกร่งขึ้น ในทางตรงข้ามยุโรปกลับอ่อนแอลง
ด้วยเหตุนี้ ทรัมป์จึงต้องกระพริบตาก่อน โดยเป็นฝ่ายเรียกร้องให้จีนมาเจรจาประนีประนอมก่อน ฝ่ายจีนตั้งป้อมไม่คุยด้วย จนกว่าสหรัฐจะเรียกร้องของคุยด้วยกนก่อน หรือส่งสัญญานว่าการเจรจาจะทำไปสู่การคลี่คลายของวิกฤตอย่างแท้จริง ไม่ใช่มานั่งสร้างภาพความยิ่งใหญ่กันเหมือนในอดีต
การเจรจาระหว่างรมว คลังสหรัฐสก็อตต์ เบสเซนต์ และเหอ ลี่เฟิง รองนายกฯจีนระหว่างวันที่10-11ที่เจนีวาที่ผ่านมา นำไปสู่ความคลี่คลายในระดับหนึ่งของสงครามภาษี เพราะท้ังทรัมป์และเบสเซนต์รู้ดีว่าภาษีระดับสูงอย่างนี้ไม่สามารถคงอยู่ได้นาน ก่อนที่เศรษฐกิจ และระบบการค้าโลกจะพัง
ผลของการเจรจาคือ สหรัฐจะลดการเก็บภาษีจีนจาก145% เหลือ30% โดยใน30% นี้ 10%เป็นภาษีฐานที่ทรัมป์เก็บจากประเทศทั่วโลกอยู่แล้วตามที่ได้ประกาศในมาตรการผ่อนปรน และอีก20%ที่เหลือเป็นการต่อรองจากการกล่าวหาของทรัมป์ที่ว่าจีน ไม่สามารถควบคุมการส่งออกเฟนทานิลและสารตั้งต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาษี 20% นี้จะเรียกเก็บกับสินค้าหลายประเภท ไม่จำกัดแค่ยา เพื่อใช้เป็น เครื่องมือกดดันทางนโยบาย
ส่วนจีนตกลงที่จะเก็บภาษีสินค้าสหรัฐที่ส่งเข้าตลาดจีนที่อัตรา10% ข้อตกลงนี้เป็นข้อตกลงชั่วคราว มีระยะเวลาเพียง90วัน นับตั้งแต่วันที่ 14พฤษภาคมเป็นต้นไป
สรุปแล้วใครได้ใครเสีย ใครแพ้ใครชนะ
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าภาษีศุลกากรเป็นภาษีที่ผู้นำเข้า หรือผู้บริโภคของประเทศที่กำหนดเป็นผู้จ่าย ในกรณีที่สหรัฐเรียกเก็บภาษี30%จากสินค้าส่งออกของจีน ผู้นำเข้าสหรัฐและผู้บริโภคอเมริกันจะเป็นผู้จ่าย ไม่ใช่จีน สก็อตต์ เบสเซนต์บ่นหลายคร้ังว่าจีนได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐมหาศาล เพราะว่าจีนส่งออกเข้าตลาดสหรัฐมากกว่าสหรัฐส่งออกเข้าตลาดจีนถึง5เท่า ด้วยเหตุนี้แม้จีนจะส่งออกเข้าสหรัฐน้อยลง ก็จะไม่มีนัยสำคัญต่อภาพรวมการส่งออกท้ังหมด
สหรัฐที่เป็นผู้เรียกร้องการเจรจาก่อนแพ้จีนในยกแรกของการเจรจาการค้ารอบนี้ เพราะว่า สหรัฐยอมลดภาษีจาก145%เหลือ 30% โดย ใน30%นี้ 10%เป็นภาษีพื้นฐานที่เก็บกับทุกประเทศอยู่แล้ว และอีก 20%เป็นภาษีตอบโต้สินค้าบางรายการจากการที่ทรัมป์กล่าวหาจีนเรื่องเฟนทานิล
รัฐบาลจีนไม่ต้องการให้ผู้นำเข้าจีน และผู้บริโภคจีนซื้อสินค้าสหรัฐในราคาแพงอยู่แล้ว การลดกำแพงภาษีจาก125%ที่จีนไม่ต้องการเรียกเก็บอยู่แล้ว เพราะมันเป็นเรื่องโจ๊ก ลงมาที่ 10% ซึ่งเป็นอัตราปกติที่จีนเก็บก่อนที่จะมีปัญหาสงครามภาษีกับทรัมป์ที่จึงไม่ได้เป็นการเสียหายอะไรสำหรับจีน เพราะว่าเป็นเพียงกลับไปอยู่ที่จุดเดิมของอัตราภาษี
จึงต้องดูกันต่อไปว่าหลังจาก90วันจากนี้ สหรัฐกับจีนจะมีการเจรจาเพิ่มเติมเพื่อลดความร้อนแรงของสงครามการค้าอย่างไร เราจึงสรุปได้ว่า ทรัมป์แพ้ต่อสี จิ้นผิงในยกแรกของสงครามการค้า เพราะว่าทรัมป์กระพริบตาก่อน และจีนอ่านไพ่ทรัมป์ทะลุปรุโปร่ง ทรัมป์ต้องยอมลดกำแพงภาษีลงมาอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เสียหน้าจากมาตรการที่ล้มเหลว ส่วนจีนลดภาษีที่ตัวเองไม่ต้องการขึ้นอยู่แล้วในตอนแรกลงมาสู่ระดับปกติ หรือของเดิมที่ต้องการเรียกเก็บ โดยไม่ทำให้ผู้นำเข้าและผู้บริโภคจีนได้รับผลกระทบ
By Thanong Khanthong
14/5/2025