รมว.คลังสหรัฐฯยันจีนไม่นำพันธบัตรสหรัฐใช้เป็นอาวุธ

รมว.คลังสหรัฐฯ ยันจีนไม่นำพันธบัตรสหรัฐฯ มาใช้เป็นอาวุธเพื่อทำร้าย ศก.จีนกระทบค่าเงินหยวน-ดอลลาร์
17-4-2025
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนท์ ยืนยันว่าจีนยังไม่ได้ใช้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ถือครองอยู่เป็นเครื่องมือในการตอบโต้ทางเศรษฐกิจ แม้ตลาดพันธบัตรจะเผชิญความผันผวนอย่างรุนแรงอันเนื่องมาจากนโยบายภาษีนำเข้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์
ในการให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Yahoo Finance เมื่อวันอังคาร เบสเซนท์กล่าวว่า "เรามีเครื่องมือมากมาย เราทำการซื้อคืนพันธบัตร ผมคิดว่าถ้าราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลดลงถึงระดับหนึ่ง หรือถ้าธนาคารกลางสหรัฐฯ เชื่อว่ามีประเทศต่างชาติ ผมจะไม่เรียกพวกเขาว่าคู่ต่อสู้ แต่เป็นคู่แข่งต่างชาติกำลังใช้ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นอาวุธ หรือพยายามทำให้ตลาดพันธบัตรไม่มั่นคงเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ผมมั่นใจว่าเราจะดำเนินมาตรการร่วมกัน แต่เราไม่เห็นสิ่งนั้นเกิดขึ้น"
แม้ว่าความสนใจส่วนใหญ่จะมุ่งไปที่ตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลงในเดือนนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนกล่าวว่าถึงเวลาที่ต้องให้ความสำคัญกับความผิดปกติในตลาดพันธบัตรมากขึ้น สิ่งที่น่าสังเกตคือ ในขณะที่นักลงทุนเทขายหุ้น พันธบัตรก็ถูกขายออกไปพร้อมกัน ซึ่งผิดปกติ เพราะพันธบัตรรัฐบาลมักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวน
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีได้เพิ่มขึ้นเป็น 4.38% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่อาศัยพุ่งสูงกว่า 7% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ความกังวลเรื่องภาษีนำเข้าส่งผลกระทบต่อตลาด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นถึง 50 จุดพื้นฐาน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่าสองทศวรรษ เมื่อเทียบกับช่วงกลางเดือนกันยายน 2024 ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีเคยอยู่ที่ระดับต่ำเพียง 3.62%
ความเคลื่อนไหวในตลาดพันธบัตรส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯ อาจประสบปัญหาในการชำระหนี้ในอนาคตและอาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในไม่ช้า
ผู้เชี่ยวชาญเสริมว่าอัตราผลตอบแทนที่เพิ่มสูงขึ้นยังสะท้อนถึงการขาดความเชื่อมั่นต่อการแก้ไขปัญหาสงครามการค้าของทรัมป์และความกังวลว่าจีนอาจตัดสินใจขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ถือครองอยู่ ซึ่งจีนเป็นประเทศที่ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มากเป็นอันดับสองของโลก
อย่างไรก็ตาม เบสเซนท์ยืนยันว่าการขายพันธบัตรไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของจีนเอง "ผมอาจจะเผาบ้านตัวเองทิ้งได้หากผมทะเลาะกับคู่สมรส แต่มันคงไม่เกิดประโยชน์อะไรกับผมมากนัก หากพวกเขา (จีน) เริ่มขายพันธบัตรรัฐบาล พวกเขาก็คงจะมีผลกระทบต่อราคาได้บ้าง" เขากล่าว
"แต่ที่สำคัญกว่านั้น พวกเขาสะสมเงินดอลลาร์ และหากขายพันธบัตร พวกเขาจะทำอะไรกับเงินดอลลาร์เหล่านั้น? หากพวกเขาขายพันธบัตรรัฐบาล พวกเขาจะต้องซื้อเงินหยวน และนั่นจะทำให้สกุลเงินของพวกเขาแข็งค่าขึ้น ซึ่งตรงข้ามกับที่พวกเขาทำมาตลอด พวกเขามีนโยบายรักษาค่าเงินหยวนให้อ่อนค่า ดังนั้น การนำพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มาใช้เป็นอาวุธจึงไม่เกิดประโยชน์อะไรกับจีนเลย" เบสเซนท์อธิบาย
ความผันผวนของตลาดพันธบัตรและอัตราผลตอบแทนที่เพิ่มสูงขึ้นเกิดจากความไม่แน่นอนรายวันเกี่ยวกับนโยบายภาษีนำเข้า เมื่อวันที่ 9 เมษายน รัฐบาลทรัมป์ประกาศระงับการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ทั้งหมดเป็นเวลา 90 วัน ยกเว้นกรณีของจีน โดยภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับสูงถึง 145% ประกอบด้วยภาษีตอบโต้ 125% เพิ่มเติมจากภาษี 20% ที่ทรัมป์เรียกเก็บไว้ก่อนหน้านี้
ในขณะเดียวกัน ภาษีนำเข้าแบบเหมารวม 10% ยังคงถูกนำมาใช้กับสินค้านำเข้าทั้งหมดที่เข้าสู่สหรัฐฯ ต่อมารัฐบาลได้ปรับปรุงแผนภาษีนำเข้าเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 11 เมษายน โดยทำเนียบขาวได้ออกกฎยกเว้นสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ จากภาษีตอบโต้ โดยเฉพาะภาษีอัตราสูงสำหรับสินค้าจาก จีน สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ แจ้งว่าสินค้าเหล่านี้จะไม่ถูกรวมในภาษีระดับโลก 10% ของทรัมป์ และภาษีตอบโต้ 125% สำหรับสินค้าจีน
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์รีบออกมาปฏิเสธว่าเขากำลังเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษี โดยยืนยันว่าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จากจีนยังคงได้รับผลกระทบ "ไม่มีการยกเว้นภาษี" ทรัมป์โพสต์ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์เมื่อวันอาทิตย์ "สินค้าเหล่านี้ยังคงอยู่ภายใต้ภาษีเฟนทานิล 20% ที่มีอยู่เดิม และกำลังถูกย้ายไปอยู่ในระบบภาษีอีกประเภทหนึ่งเท่านั้น"
---
IMCT NEWS
------------------------------
นักเศรษฐศาสตร์ HSBC เตือน 90% ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญความเสียหายจากนโยบายภาษีทรัมป์
17-4-2025
ร้อยละ 90 ของภาคเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความเสียหายจากนโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตามการวิเคราะห์ของนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำ ขณะที่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงทวีความรุนแรง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงิน
เจเน็ต เฮนรี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกของธนาคาร HSBC ให้ความเห็นเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากนโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ ในขณะที่จีนประกาศว่าพร้อมเปิดการเจรจา หากประธานาธิบดีสหรัฐฯ และทีมของเขาแสดงความเคารพต่อประเทศจีนมากขึ้น เฮนรีกล่าวว่าชะตากรรมของเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงินขึ้นอยู่เป็นอย่างมากกับว่าสหรัฐฯ และจีนจะสามารถหาทางหลีกเลี่ยงสงครามการค้าที่ยืดเยื้อได้หรือไม่
นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่จากจีนในอัตราสูงถึงร้อยละ 145 ซึ่งนำไปสู่การตอบโต้จากปักกิ่ง สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้การค้าส่วนใหญ่ระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของโลกเสี่ยงที่จะล่มสลาย
ในการให้สัมภาษณ์กับสตีเฟน แคร์รอลล์ และวาเลอรี ไทเทล ของ Bloomberg Radio เฮนรีอ้างถึงการคำนวณของ Bloomberg Economics ซึ่งระบุว่าผู้นำเข้าของสหรัฐฯ ต้องแบกรับภาระภาษีนำเข้าเกือบร้อยละ 100 จนถึงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยแทบไม่ได้รับการชดเชยจากคู่ค้าฝั่งจีน นั่นหมายความว่าต้นทุนภาษีนำเข้าได้ถูกผลักภาระไปยังผู้นำเข้าของสหรัฐฯ ที่ชายแดน และอัตรากำไรของบริษัทสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบในเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อมูลจาก Bloomberg Economics แสดงให้เห็นว่า ภาระภาษีนำเข้าไม่ได้ถูกผลักไปให้ผู้ผลิตจีนอย่างที่ฝ่ายบริหารของทรัมป์คาดหวัง แต่กลับตกเป็นภาระของผู้นำเข้า ผู้ค้าปลีก และผู้บริโภคชาวอเมริกันเกือบทั้งหมด ซึ่งขัดแย้งกับคำกล่าวอ้างของทำเนียบขาวที่ว่าภาษีนำเข้าจะเป็นการลงโทษจีนเป็นหลัก
---
IMCT NEWS
ที่มา https://finance.yahoo.com/video/90-us-economy-facing-tariff-124405967.html