ได้เวลาประกาศอิสระภาพจากดอลล่าร์

ได้เวลาประกาศอิสระภาพจากดอลล่าร์
6-4-2025
โดนัลด์ ทรัมป์คุยโวว่าอเมริกากำลังเข้าสู่ยุคทอง (Golden Era)และนโยบายภาษีบ้าเลือดของเขาจะปลดปล่อยให้อเมริกาเป็นอิสระ (Liberation Day)จากการเอารัดเอาเปรียบของประเทศคู่ค้าทั่วโลกที่ดำเนินมานานกว่า40ปี แต่ในความเป็นจริงภาษีของทรัมป์จะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐยิ่งจะซบเซาหนักขึ้นไปอีก ธนาคารเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ สาขาแอตแลนต้าได้ออกมาคาดการณ์แล้วว่า เศรษฐกิจของสหรัฐจะติดลบ2.5%ในไตรมาสแรกของปี 2025นี้ เศรษฐกิจที่ฟุบตัวนี้เกิดขึ้นก่อนที่ทรัมป์จะประกาศนโยบายภาษีเสียอีก
ส่วนตลาดหุ้นไม่ต้องพูดถึง ดัชนีS&P 500 ซึ่งมีสัดส่วน80%ของมูลค่ารวมของตลาดหุ้นสหรัฐเสียหายไป$5ล้านล้านในระหว่างวันที่ 3-4เมษายนที่ผ่านมา จากการขายแบบแพนิกของนักลงทุน เพราะไม่คิดว่าทรัมป์จะประกาศอัตรากำแพงภาษีในระดับที่สูงเหมือนกับว่าจะไม่เผาผีกับประเทศคู่ค้ากันอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจีนที่โดน54% ส่วนไทยก็โดนไม่เบาเหมือนกันที่อัตรา36%
นักวิเคราะห์หุ้นชื่อดังของสื่อCNBC นายจิม เครมเมอร์ได้ออกมาเตือนว่า ถ้าหากทรัมป์ไม่ออกมายื่นมือช่วยเหลือบางประเทศ หรือบางบริษัทที่เล่นตามกฎกติกา ตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะเจอจันทร์ทมิฬ ( Black Monday)ในวันจันทร์ ที่ 7 เมษายน 2025ที่จะถึงนี้ คงจะพอจำกันได้ว่าในเหตุการณ์แบล็คมันเดย์ในวันที่ 19 ตุลาคมปี 1987 ดัชนีดาวโจนส์ติดลบ508จุด หรือ -22.6% ซึ่งถือว่าเป็นการสูญเสียที่รุนแรงที่สุดในวันเดียวในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นสหรัฐ
จะเกิดแบล็คมันเดย์ในวันพรุ่งนี้หรือไม่ทรัมป์อาจจะทำท่าไม่สนใจ เพราะว่าถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงว่าบินไปตีกอล์ฟอย่างสบายอารมณ์หลังประกาศมาตรการภาษีที่ทำเนียบขาว โดยไม่ดูผลกระทบของตลาดหุ้นที่เปรียบเหมือนความมั่งคั่งของอเมริกา แต่ในแง่มุมของทรัมป์ อาจจะมองว่ามาตรการภาษีอาจจะให้ประโยชน์กับสหรัฐในระยะยาวมากกว่าความเสียหายในระยะสั้นของตลาดหุ้น หรือเศรษฐกิจที่ถดถอย เพราะว่าทรัมป์สามารถใช้ภาษีในการต่อรองกับผู้นำของประเทศคู่ค้าให้ปรับเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจ การเงิน การเมืองระหว่างประเทศ ความมั่นคงให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐในขณะที่ทรัมป์รีเซ็ตหนี้ หรือระบบการเงินของสหรัฐที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด
นอกจากนี้ หุ้นตกมากๆจะทำให้นายเจโรม เพาแวลล์ ประธานของเฟดร้อนก้น นั่งไม่ติดเก้าอี้ ต้องลดดอกเบี้ย โดยทรัมป์ไม่ต้องกดดันมากไปกว่านี้ เพราะว่าทรัมป์ต้องการดอกเบี้ยที่ต่ำ เงินดอลล่าร์ที่อ่อนค่า จะได้ช่วยลดการนำเข้าสินค้า ทำให้สินค้าจากต่างประเทศแพงขึ้น และบีบให้เศรษฐกิจสหรัฐหันไปพึ่งพาตัวเองมากขึ้นผ่านการผลิตเพื่อชดเชยการนำเข้า ซึ่งจะนำไปสู่การลดการขาดดุลการค้าในที่สุดที่เป็นรากเหง้าของปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐ
ที่ผ่านมา มีเพียงไม่กี่ประเทศ -- จาก180ประเทศและดินแดนที่เจอกำแพงภาษี อย่างต่ำสุด10%ของทรัมป์-- ได้ทำการตอบโต้ภาษีของทรัมป์ เห็นมีเพียงจีน แคนาดา สหภาพยุโรป และบราซิลเท่านั้นที่มีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในวันศุกร์ที่ผ่านมา จีนประกาศเก็บภาษี34%สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐเพื่อตอบโต้ทรัมป์ ก่อนหน้านี้ แคนาดาประกาศเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐแล้ว25% สำหรับสินค้านำเข้ามูลค่า20.5พันล้านเหรียญ และจะขายไปอีกกับสินค้ามูลค่า$85 พันล้าน เม็กซิโกยังกล้าๆกลัวๆสหรัฐ ยังไม่กล้าตอบโต้แม้ว่าจะโดนซัดไปก่อน25% ส่วนสหภาพยุโรปได้ประกาศแผนภาษีตอบโต้สำหรับสินค้าส่งออกของสหรัฐมูลค่าสูงถึง 28 พันล้านดอลลาร์ โดยจะดำเนินการสองระยะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนเมษายน 2568 โดยกำหนดเป้าหมายไปที่เหล็ก อะลูมิเนียม และสินค้าอื่นๆ เพื่อตอบสนองต่อภาษีของสหรัฐ รวมถึงภาษี 20% สำหรับการนำเข้าจาก EU ส่วนบราซิล ผ่านร่างกฎหมายตอบแทนในต้นปีนี้ ที่อนุญาตให้ตอบโต้ภาษีของสหรัฐ (เช่น 25% สำหรับเหล็ก) แม้ว่าจะยังไม่ได้ดำเนินมาตรการเฉพาะ โดยเลือกการเจรจาในขณะนี้
เวียดนามจึงกลายเป็นประเทศแรกที่มีการเจรจากับสหรัฐในเรื่องการผ่อนปรนกำแพงภาษี46% ซึ่งนับว่าสูงมากๆ เพราะว่าเวียดนามได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐมากถึง$123.5 พันล้าน การส่งออกไปตลาดสหรัฐมีสัดส่วน30%ต่อจีดีพีของเวียดนาม นายTo Lamผู้นำเวียดนามได้ต่อสายคุยกับทรัมป์โดยตรง โดยเสนอว่าจะลดกำแพงภาษีให้กับสินค้าจากสหรัฐเหลือ0%เพื่อว่าจะได้ไม่โดนกำแพงภาษีมหาโหด หลังจากพูดคุยกันเสร็จ ทรัมป์แสดงความพอใจที่คุยกับผู้นำเวียดนามรู้เรื่อง
คำถามคือทำไมทรัมป์ยอมรับสายนาย To Lam ผู้นำเวียดนาม แต่ไม่ยอมให้ใครรับสายนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทย ที่พยายามจะต่อรองกำแพงภาษี36-37% ถือเป็นอัตราที่สูงมากเกินความคาดหมาย ที่ประเมินไว้ว่าจะขึ้นภาษีไทย 11% ???
“แต่ไม่ต้องห่วง เพราะไทยมีคณะทำงานที่เตรียมความพร้อมในการเจรจากับสหรัฐฯ ไว้แล้ว และมีความหวังว่า เราจะสามารถเจรจาต่อรอง เพื่อให้สหรัฐฯ ลดภาษีลงได้ โดยไทยพร้อมเจรจาตลอดเวลา รอแค่ว่าสหรัฐฯ จะรับนัดเมื่อไร ซึ่งเมื่อคืนนี้ (2 เม.ย.) หลังทรัมป์ประกาศพิกัดภาษี ได้ยกหูไปสหรัฐฯ ทันที แต่สหรัฐฯ ยังไม่รับสาย” นายพิชัยกล่าว
แน่นอนเลยที่เดียวที่ การพูดคุยระหว่างทรัมป์กับนายTo Lamไม่ได้เจรจาเรื่องกำแพงภาษีอย่างเดียว แต่น่าที่จะมีเรื่องของนโยบายต่างประเทศ นโยบายความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือระหว่างเวียดนามกับสหรัฐในทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ต่อไปจะมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างสหรัฐกับจีน โดยถึงขั้นอาจจะออกอาวุธเข้าห้ำหั่นกันก็ได้ ถ้าหากทรัมป์เดินหน้ากดดันจีนเรื่องไต้หวัน หรือใช้ภูมิภาคนี้เพื่อปิดล้อมจีนทางทหาร
เหมือนกับการเจรจาการหยุดยิงที่ยูเครนระหว่างรัสเซียและสหรัฐที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ และไม่ได้มีความคืบหน้ามากตามที่ทรัมป์หวังเอาไว้ เพราะว่าทรัมป์ต้องการหยุดยิงเป็นหลัก ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆค่อยว่ากัน แต่ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียมองว่าเรื่องหยุดยิงในยูเครนเป็นเรื่องเล็ก แต่หลักประกันความมั่นคงของดินแดนของรัสเซียในระยะยาวจะเป็นอย่างไร นาโต้ ยุโรปจะวางตัวอย่างไร จะส่งทหารเข้าในยูเครนเพื่อคุกคามรัสเซียหรือไม่ และโดยภาพรวมรัสเซียกับสหรัฐ และยุโรปจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติอย่างไรภายใต้ข้อตกลงความมั่นคงที่ครอบคลุมอย่างไร การเจรจาจึงยืดเยื้อจนมาร์โก รูบิโอ รมว ต่างประเทศของสหรัฐรู้สึกหงุดหงิดในเวลานี้ เพราะว่าไม่มีความคืบหน้า โดยตำหนิรัสเซียว่าการคุยแบบชักเข้าชักออกแบบนี้เป็นการไม่สมควร แต่รัสเซียไม่ได้รีบเร่งที่จะเจรจาให้จบ เพราะว่ากำลังได้เปรียบในสนามรบ และถูกสหรัฐ และยุโรปหลอกจนเปื่อยมาแล้วในข้อตกลงมินสก์ที่กลายเป็นการเตะถ่วงเวลาให้ยูเครนมีเวลาเตรียมความพร้อมทางทหาร และอาวุธเพื่อที่จะรบแบบแตกหักกับรัสเซีย
คุณพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทยคงจะเข้าใจว่า เรื่องกำแพงภาษีของทรัมป์เป็นเรื่องการค้าโดยเฉพาะ และในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพานิชย์ เขาต้องรับบทบาทในการเจรจาหาทางออกให้ภาคการส่งออกของไทย ซึ่งในความเป็นจริง มันไม่ใช่เรื่องกำแพงภาษีอย่างเดียวอย่างที่บอก เพราะว่าทรัมป์ต้องการใช้กำแพงภาษีเป็นเครื่องมือที่จะบรรลุเป้าหมายที่ใหญ่กว่าในด้านนโยบายต่างประเทศ ความมั่นคง และการทหาร เพราะว่าเป้าหมายหลักของทรัมป์คือสกัดอิทธิพลของจีนในภูมิภาคนี้
มีเพียงระดับนายกรัฐมนตรีของไทยเท่านั้นที่จะตกลงเรื่องภาษี และเรื่องควมมั่นคงอื่นๆกับทรัมป์ได้ แต่นายกอุ๊งอิ๊งอาจจะไม่ไม่มีประสบการณ์มากเพียงพอในเรื่องนี้ แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย โดยคุณเธอแถลงข่าวในวันนี้ว่า
“นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะเดินทางไปหารือ กับหลายภาคส่วนในสหรัฐฯ ทั้งภาครัฐ เอกชนและผู้ที่มีส่วนได้เสีย จากการเปลี่ยนแปลงการค้าที่สำคัญ ของรัฐบาลสหรัฐฯในครั้งนี้ สำหรับสิ่งที่เราจะสื่อสารกับรัฐบาลสหรัฐฯก็คือ ประเทศไทยไม่ใช่แค่ผู้ส่งออกเท่านั้น แต่เราคือพันธมิตรและหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สหรัฐฯเชื่อถือได้ในระยะยาว”
ไม่รู้ว่าคุณพิชัยไปอเมริกาแล้วจะเจอใคร คุยกันแล้วจะได้เรื่องหรือไม่ ตัดสินใจแทนรัฐบาลไทยได้ทุกอย่างหรือไม่ เพราะว่ามันจะมีเรื่องความมั่นคง เรื่องการใช้ฐานทัพในไทย เรื่องการซื้ออาวุธในอนาคตมาเกี่ยวข้องด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อแลกกับการยกเลิกกำแพงภาษี หรือลดอัตราภาษีให้น้อยลง
ความจริง จากนโยบายกำแพงภาษีที่ไม่คิดที่จะเผาผีกันของทรัมป์ไทยควรถือโอกาสนี้ปลดแอกจากการพึ่งพาสหรัฐด้านตลาดการส่งออกไปเลย รวมท้ังการพึ่งพาเงินสกุลดอลล่าร์ที่กำลังมีปัญหารุนแรงจากหนี้กองโตมหโฬารของรัฐบาลสหรัฐ แทนที่จะให้ทรัมป์ประกาศวันขึ้นกำแพงภาษีเป็นวันแห่งอิสระภาพ ไทยเราก็สามารถประกาศวันอิสระภาพได้เหมือนกัน เพราะว่ายิ่งส่งออกไปตลาดสหรัฐมากเท่าใดก็ยิ่งมีภาระมากขึ้น หรือจะบอกว่ายิ่งจนลงก็ได้ จากการที่ไทยต้องดูแลบริษัทต่างชาติที่ใช้ไทยเป็นฐานในการส่งออก ต้องกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนให้อ่อนเข้าไว้ตลอดกาลเพื่อช่วยการส่งออก
เพื่อแลกกับดอลล่าร์กระดาษที่กำลังสูญเสียความเชื่อมั่นจากชาวโลก ธนาคารกลางของประเทศต่างๆมีการแห่กักตุนทองคำ ด้วยการขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และหันมาถือครองทองคำแทน ทำให้ราคาทองคำที่พุ่งสวนกับค่าของดอลล่าร์ด้วยนัยที่สำคัญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปี 2022หลังสงครามยูเครนเริ่มต้น ถ้าไทยยังติดกับดักดอลล่าร์ ส่งออกเพื่อให้ได้ดอลล่าร์แล้วเอาดอลล่าร์ไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพื่อเป็นรีเสิร์ฟ อนาคตความมั่นคงของประเทศด้านการเงินจะมีปัญหา เพราะว่าแนวโน้มดอลล่าร์มีแต่จะเสื่อมค่าจากการเพิ่มปริมาณเงินดอลล่าร์ของธนาคารกลางเพื่อจ่ายหนี้ และสหรัฐอาจจะถึงจุดต้องเบี้ยวหนี้ หรือปรับโครงสร้างหนี้ก็ได้
เข้าใจว่าการเจรจาเรื่องการภาษีทรัมป์อาจจะเกี่ยวข้องกับการให้ประเทศคู่ค้าต้องผลักดันให้อัตราแลกเปลี่ยนของตัวเองแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบดอลล่าร์ จะได้ลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐ รวมท้ังการให้ความร่วมมือในการปรับโครงสร้างหนี้ของสหรัฐผ่านการเปลี่ยนการถือบอนด์ระยะสั้นไปเป็นบอนด์ระยะ50ปี หรือ100ปีแทน
การตีกรรเชียงออกจากระบบดอลล่าร์จึงน่าที่จะเป็นทางออกของไทย จะได้ไม่โดนมัดมือมัดเท้าชกเหมือนอย่างในอดีตที่ผ่านมา จีนเองไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไรกับมาตรฐานภาษีของทรัมป์ เพราะรู้ดีว่าคบกับสหรัฐที่คอยจะเอาเปรียบคู่ค้าลำบาก จึงมีการกระจายการส่งออกไปยังประเทศต่างๆมา4-5ปีแล้ว และจะกลับมาเน้นการบริโภคภายในประเทศเพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจแทน จะเห็นได้ว่า มีข่าวในสองสามวันที่ผ่านมาว่า จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นมีข้อตกลงทางการค้าใหม่ที่จะช่วยลดความกดดันจากการค้ากับสหรัฐที่ออกอาการฟาดงวงฟาดงา
ในเวลานี้ ในภูมิภาคนี้มีข้อตกงการค้ากรอบใหญ่ๆหลายกรอบที่ไทยควรที่จะเร่งดำเนินการสานต่อ ไม่ว่าจะเป็นการค้ากับเพื่อบ้านCLMV อาเซียน จีน รวมท้ังข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ อาร์เซ็ป (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) ซึ่งความตกลงเขตการค้าเสรี ระหว่าง 10 ชาติสมาชิกอาเซียน และ 5 ประเทศคู่เจรจา (ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์)
และที่สำคัญที่สุดไทยได้ร่วมเป็นพันธะมิตรประเทศกับBRICSแล้ว ซึ่งกลุ่มนี้มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่ากลุ่มG7แล้ว ไม่เห็นความจำเป็นที่ไทยต้องดิ้นทุรนทุรายไปง้อทรัมป์ที่วางมาดเป็นเจ้าพ่อให้ผู้นำทุกประเทศต้องเข้าไปซูฮกที่ทำเนียบขาว มิเช่นนั้นจะไม่สามารถขายสินค้าในตลาดสหรัฐได้ ทั้งๆที่ทรัมป์ไม่มีไพ่ที่จะเล่นอยู่ในมือ เหมือนกับที่ทรัมป์บอกกับเซเลนสกีว่าคุณไมมีไพ่เล่นแล้ว การค้าขายกับสหรัฐถ้าจะว่าไปแล้วได้ไม่คุ้มกับเสียอย่างที่อธิบายข้างต้น
และที่สำคัญไปกว่านี้ สหรัฐกำลังเป็นเศรษฐกิจขาลง ที่กำลังเผชิญกับภาวะถดถอยที่ไม่ใช่ว่าจะฟื้นฟูได้ง่ายๆ เพราะว่าสหรัฐมีปัญหาหนี้ที่เรื้อรัง มีปัญหาความเสื่อมในความน่าเชื่อถือของดอลล่าร์ในฐานะเงินสกุลหลักของโลก มีปัญหาการรื้อฟื้นภาคอุตสาหกรรมที่ถูกโยกออกนอกประเทศไปนานหลายสิบปีแล้ว ทำให้ภายในประเทศไม่มีการผลิต ไม่มีแรงงานที่มีทักษะ เพราะว่าไม่เคยได้ทำงานใช้ฝีมือ และการใช้เวลาในการสร้างระบบซับไพลเชนที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย5 ปี หรือ 10ปี
ในขณะเดียวกัน ไทยมีทางออกที่สว่างกว่าจากการหาตลาดใหม่ๆ และเพิ่มความร่วมมือกับกลุ่มBRICSที่ต่อไปจะเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจโลก
By Thanong Khanthong
6/4/2025