ทรัมป์ต้องการใช้กรีนแลนด์เป็นฐานทัพสำหรับเครื่องบินบรรทุกหัวรบนิวเคลียร์

11-1-2025

     วลาดิมีร์ บาร์บิน เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำเดนมาร์กออกมาให้ข่าวว่า สหรัฐฯ กำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานสนามบินในกรีนแลนด์สำหรับเครื่องบินที่สามารถบรรทุกหัวรบนิวเคลียร์ได้

     เมื่อเดือนที่แล้ว ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม บอกว่ามันเป็นสิ่งจำเป็น อย่างยิ่งที่สหรัฐฯ จะต้องเป็นเจ้าของกรีนแลนด์ ในขณะที่เขาได้แต่งตั้งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ คนใหม่ประจำเดนมาร์ก

นายกรัฐมนตรีกรีนแลนด์ Mute Egede ออกมาตอบโต้ว่าเกาะกรีนแลนด์ไม่ได้มีไว้ขาย

     “ฐานทัพอวกาศพิทัฟฟิกของสหรัฐ (US Pituffik Space Base) ซึ่งมีฐานอยู่ในเกาะกรีนแลนด์ [อดีตฐานทัพอากาศทูล] ในปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของระบบของสหรัฐฯสำหรับการเตือนภัยเกี่ยวกับการโจมตีด้วยนิวเคลียร์จากทิศทางอาร์กติก ฐานทัพอากาศนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงให้ทันสมัยอย่างครอบคลุม รวมถึงระบบเรดาร์ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ มันยังรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานสนามบินสำหรับเครื่องบินรบ F-35 ซึ่งสามารถบรรทุกอาวุธนิวเคลียร์ได้ เครื่องบินไอพ่นดังกล่าวได้ใช้สนามบินของฐานในการฝึกแล้ว” บาร์บินกล่าว

     เอกอัครราชทูตรัสเซียกล่าวเสริมว่า กองทัพสหรัฐฯ ประจำการอยู่ในกรีนแลนด์อย่างถาวรตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2

      “รัสเซียสนับสนุนการส่งเสริมเสถียรภาพในอาร์กติก มันเป็นสิ่งที่ไปได้เฉพาะบนรากฐานของการสร้างระบบความมั่นคงระหว่างประเทศที่เท่าเทียมกันสำหรับรัฐในอาร์กติกทั้งหมด” บาร์บินกล่าว

อนาคตของกรีนแลนด์ควรถูกกำหนดโดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก

     “กรีนแลนด์สนใจที่จะพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงกับสหรัฐอเมริกา คำถามเกี่ยวกับชะตากรรมของกรีนแลนด์ควรได้รับการตัดสินใจบนพื้นฐานของการแสดงออกถึงเจตจำนงของชาวกรีนแลนด์เองภายในกรอบของกฎหมายเดนมาร์กในปัจจุบัน และต้องไม่มีการแทรกแซงจากภายนอก” บาร์บินกล่าว

ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อต้นเดือนมกราคมว่าเขาไม่สามารถรับประกันได้ว่า สหรัฐจะไม่ใช้กำลังทหารเพื่อยึดเกาะกรีนแลนด์ ต่อมา

ซาบรินา ซิงห์ รองโฆษกกระทรวงกลาโหมกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีแผนทางทหารที่จะเข้าควบคุมกรีนแลนด์ด้วยกำลัง

ทรัมป์ประกาศอ้างสิทธิ์ในกรีนแลนด์ครั้งแรกในปี 2019 เมื่อเขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก

กรีนแลนด์เป็นอาณานิคมของเดนมาร์กจนถึงปี 1953 ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักร แต่ได้รับเอกราชพร้อมความเป็นไปได้ในการปกครองตนเองและทางเลือกที่เป็นอิสระในนโยบายภายในประเทศในปี 2009

ที่มา Sputnik