ศึกสะสมอาวุธในมหาสมุทรอินเดีย: K-4 ของอินเดีย ปะทะ ฐานทัพจีนในปากีสถาน-ศรีลังกา
3-12-2024
Asia Time รายงานว่า
อินเดียสร้างปรากฏการณ์สำคัญในการพัฒนาศักยภาพทางนิวเคลียร์ หลังประสบความสำเร็จในการทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกล K-4 จากเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ INS Arighat ท่ามกลางการแข่งขันที่ทวีความเข้มข้นกับจีนและปากีสถานในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย
กองวิจัยการป้องกันของอินเดีย (IDRW) รายงานว่า K-4 มีพิสัยการยิง 3,500 กิโลเมตร นับเป็นการยกระดับขีดความสามารถอย่างก้าวกระโดดจากขีปนาวุธรุ่น K-15 ที่มีพิสัยเพียง 750 กิโลเมตร การทดสอบครั้งนี้ดำเนินการจากแท่นยิงใต้น้ำในสภาวะการณ์จริง เพื่อยืนยันประสิทธิภาพในการปฏิบัติการ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของอินเดียในการรักษาศักยภาพการยับยั้งขั้นต่ำที่น่าเชื่อถือ ภายใต้หลักการไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน
ด้านฮันส์ คริสเตนเซนและคณะ นักวิเคราะห์จาก Bulletin of Atomic Scientists ระบุว่า K-4 มีขีดความสามารถใกล้เคียงกับขีปนาวุธพิสัยกลาง Agni-III โดยสามารถโจมตีครอบคลุมทั้งปากีสถานและพื้นที่ส่วนใหญ่ของจีนจากฐานที่มั่นในอ่าวเบงกอลตอนเหนือ แม้องค์กรวิจัยและพัฒนาการป้องกันของอินเดีย (DRDO) จะอ้างว่า K-4 มีความแม่นยำสูงมาก แต่นักวิเคราะห์ยังมองด้วยความสงสัย
เรือดำน้ำขีปนาวุธพิสัยไกลของอินเดียสามารถบรรจุขีปนาวุธ K-4 หนึ่งลูก หรือ K-15 สามลูก ขณะที่อินเดียกำลังพัฒนาขีปนาวุธรุ่น K-5 ที่มีพิสัยไกลกว่า 5,000 กิโลเมตร และล่าสุดในเดือนมีนาคม 2024 ประสบความสำเร็จในการทดสอบเทคโนโลยีหัวรบนำวิถีอิสระพร้อมกันหลายหัว (MIRV) กับขีปนาวุธ Agni-5 ที่เกาะอับดุล คาลัม ส่งผลให้อินเดียก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำด้านเทคโนโลยี MIRV ร่วมกับสหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน รัสเซีย และปากีสถาน
DRDO ยังวางแผนพัฒนาขีปนาวุธยิงจากเรือดำน้ำพิสัย 5,000 กิโลเมตร โดยต่อยอดจากขีปนาวุธภาคพื้นดิน Agni-V ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถให้เรือดำน้ำอินเดียโจมตีเป้าหมายได้ครอบคลุมทั่วเอเชีย แอฟริกา ยุโรป และอินโด-แปซิฟิก รวมถึงทะเลจีนใต้
เดบัค ดาส ผู้เชี่ยวชาญจาก Bulletin of Atomic Scientists วิเคราะห์ว่า คลังอาวุธนิวเคลียร์ทางทะเลของอินเดียที่ติดตั้ง MIRV จะเป็นรากฐานสำคัญของศักยภาพการตอบโต้ครั้งที่สอง และอาจลดทอนความก้าวหน้าด้านระบบป้องกันขีปนาวุธของจีน พร้อมเสริมสร้างขีดความสามารถในการ "ยับยั้งอย่างต่อเนื่องในทะเล" ของกองทัพเรืออินเดีย
ขณะที่จีนได้ขยายอิทธิพลในมหาสมุทรอินเดียผ่านการลงทุนในท่าเรือกวาดาร์ของปากีสถานและฮัมบันโตตาของศรีลังกา นอกเหนือจากฐานทัพในจิบูตี แม้ฐานในจิบูตีจะมีข้อจำกัดด้านการส่งกำลังบำรุงและขาดการสนับสนุนจากฐานทัพอื่นในภูมิภาค แต่ท่าเรือทั้งสองแห่งมีศักยภาพเป็นจุดพักและเติมเสบียงระยะยาวสำหรับกองทัพเรือปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA-N) โดยเฉพาะที่กวาดาร์ซึ่งมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ จนมีเจ้าหน้าที่ PLA กล่าวว่า "อาหารอยู่บนจานแล้ว เราจะกินเมื่อไหร่ก็ได้"
ราเชสวารี ราชาโกปาลัน นักวิจัยจากสำนักงานวิจัยแห่งชาติแห่งเอเชีย (NBR) ชี้ว่า แม้โครงการนิวเคลียร์ของอินเดียจะถูกขับเคลื่อนด้วยภัยคุกคามจากปากีสถานเป็นหลัก แต่การเร่งปรับปรุงกองกำลังนิวเคลียร์ของจีน ทั้งการพัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลภาคพื้นดินและการขยายคลังอาวุธเป็นหลายพันหัวรบ กำลังท้าทายหลักการยับยั้งขั้นต่ำของอินเดีย และอาจกดดันให้ต้องทบทวนนโยบายไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน โดยเฉพาะเมื่อจีนกำลังพัฒนาศักยภาพนิวเคลียร์เทียบเท่าสหรัฐฯ นอกจากนี้ ท่าทีด้านนิวเคลียร์ที่แข็งกร้าวของจีนอาจส่งผลให้จีนกล้าที่จะยกระดับความขัดแย้งตามแนวชายแดนในเทือกเขาหิมาลัยมากขึ้น
---
ที่มา https://asiatimes.com/2024/12/indias-k-4-missile-a-nuclear-shot-across-chinas-bow/