.

ราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
4-9-2025
ราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,549.40 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 2.18% จากราคาปิดเมื่อวันก่อนที่ 3,477.54 ดอลลาร์ การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในครั้งนี้เกิดจากหลายปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะความคาดหวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed), การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยยังคงได้รับแรงหนุนจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นตามปัจจัยมหภาคเหล่านี้
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น คือการคาดการณ์ของตลาดว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 จุดฐาน ในการประชุมวันที่ 17 กันยายน 2025 การลดดอกเบี้ยนี้คาดว่าจะช่วยหนุนสินทรัพย์เสี่ยงและกดดันค่าเงินดอลลาร์ให้อ่อนลง ซึ่งเป็นผลดีต่อทองคำ นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่า Fed อาจเลือกใช้นโยบายที่เข้มข้นขึ้นด้วยการลดดอกเบี้ย 50 จุดฐาน หากข้อมูลเศรษฐกิจในช่วงไม่กี่วันข้างหน้าแสดงถึงแนวโน้มที่ชัดเจนมากขึ้น สิ่งนี้ทำให้นักลงทุนยิ่งหันมาถือทองคำมากขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและค่าเงินที่อ่อนลง
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงประมาณ 11% นับตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่ง ส่งผลให้ทองคำยิ่งน่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เพราะทองคำมีราคาถูกลงเมื่อแลกเปลี่ยนด้วยสกุลเงินอื่น ซึ่งเพิ่มความต้องการและดันราคาทองให้สูงขึ้น
อิทธิพลของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อ นโยบายการเงินของสหรัฐฯ ยังคงมีบทบาทสำคัญในตลาด โดยความพยายามกดดัน Fed ของเขาได้สร้างความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน นักลงทุนจึงไม่แน่ใจเกี่ยวกับจุดยืนของ Fed ต่อเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย ขณะที่บางฝ่ายมองว่าท่าทีของทรัมป์อาจทำให้ Fed ดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายมากขึ้น แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาวต่อเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนนี้ได้ผลักดันให้นักลงทุนหันมาถือทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่มั่นคงมากกว่า ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินโลก
แรงซื้อทองคำยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดสะท้อนสัญญาณที่หลากหลาย โดยแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงอยู่ ในขณะที่ดัชนีชี้วัดการเติบโตทางเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน รายงาน JOLTS Job Openings (ตำแหน่งงานว่างในภาคเอกชน) ลดลงมาอยู่ที่ 7.18 ล้านตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 7.38 ล้านตำแหน่ง และลดลงจากตัวเลขที่ปรับแล้วในเดือนกรกฎาคมที่ 7.36 ล้านตำแหน่ง ตัวเลขที่อ่อนแอกว่าที่คาดนี้สะท้อนถึง การชะลอตัวของตลาดแรงงาน
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่หนุนราคาทองคำในวันนี้ คือความคาดหวังต่อท่าทีที่ "ผ่อนคลาย" (dovish) จาก ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกอบกับความตึงเครียดทางการเมืองและเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ที่ยังคงดำเนินอยู่ จุดยืนของรัฐบาลภายใต้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับภาษีและนโยบายการค้าสร้างความไม่แน่นอนให้กับตลาดโลก โดยการตัดสินใจของสหรัฐฯ ที่จะยังไม่ใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมต่อจีน และกำลังประเมินผลกระทบของมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลเกี่ยวกับทิศทางของการค้าโลกในอนาคต ความไม่แน่นอนในด้านภูมิรัฐศาสตร์เช่นนี้ยังคงเพิ่มความเสี่ยงให้กับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก และเป็นแรงผลักดันให้นักลงทุนหันมาถือทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอย่าง รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payroll – NFP) ของสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดเผยแพร่ในวันศุกร์นี้ จะเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาด หากรายงานดังกล่าวแข็งแกร่งกว่าที่คาด อาจเปลี่ยนมุมมองของตลาดต่อท่าทีของ ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ในการประชุมเดือนกันยายน และส่งแรงกดดันต่อราคาทองคำ อย่างไรก็ตาม หากตัวเลขการจ้างงานออกมาอ่อนแอกว่าที่คาด ก็จะช่วยสนับสนุนแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย และเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำเพิ่มเติม ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดมุมมองของตลาดต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยในอนาคต และส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อทองคำ
สรุป: การพุ่งขึ้นของราคาทองคำแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในครั้งนี้ สะท้อนถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ความคาดหวังต่อการปรับลดดอกเบี้ยของ Fed, ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ และความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่ยังไม่คลี่คลาย นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐและการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกยังเป็นแรงหนุนสำคัญ แม้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เช่น รายงาน NFP ของสหรัฐฯ และถ้อยแถลงจากผู้นำธนาคารกลางต่าง ๆ จะมีอิทธิพลต่อทิศทางราคาทองคำในระยะสั้น แต่โดยรวมแล้ว แนวโน้มของตลาดยังคงเป็นบวก เนื่องจากปัจจัยมหภาคและภูมิรัฐศาสตร์ยังคงสนับสนุนให้ นักลงทุนเลือกถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยต่อไป ซึ่งมีแนวโน้มว่าราคาทองคำจะยังคงปรับตัวสูงขึ้น ตราบใดที่ปัจจัยเหล่านี้ยังไม่เปลี่ยนแปลง
ที่มา Kitco News