.

ภาษีนำเข้าทองคำ 39% ของทรัมป์ เขย่าตลาดค้าทองคำโลก ราคาทองฟิวเจอร์สสหรัฐฯ พุ่งแซงตลาดยุโรป-เอเชีย
9-8-2025
Bloomberg รายงานว่า ตลาดทองคำทั่วโลกเผชิญความผันผวนครั้งสำคัญ หลังหน่วยงานศุลกากรของสหรัฐอเมริกา (US Customs and Border Protection – CBP) ยืนยันการจัดเก็บภาษีอัตราตอบโต้ 39% สำหรับทองคำแท่งขนาด 1 กิโลกรัมและ 100 ออนซ์ ซึ่งเป็นรูปแบบมาตรฐานในการซื้อขายล่วงหน้าทองคำที่ตลาดนิวยอร์ก (Comex) ประกาศดังกล่าวสร้างแรงกระเพื่อมให้ราคาฟิวเจอร์สในนิวยอร์กทะยานสู่ระดับสูงสุดในประวัติการณ์ ภายใต้แรงกดดันจากนักลงทุนและผู้ค้าโลหะมีค่าทั่วโลก
กรณีนี้เริ่มจากข้อสงสัยของบริษัทรีไฟน์ทองคำในสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดไปยังสหรัฐฯ หลังทำหนังสือสอบถามไปยัง CBP ก่อนจะได้รับคำตอบว่า ทองคำแท่งที่ใช้ซื้อขายในตลาดฟิวเจอร์ส ต้องจัดอยู่ในประเภท “semi-manufactured” ตามรหัสศุลกากร 7108.13.5500 มิใช่ “unwrought gold” ตามที่ผู้อุตสาหกรรมเข้าใจมาโดยตลอด ผลคือถูกเก็บภาษีในอัตราสูงเทียบเท่าประเทศคู่ค้าที่ถูกมาตรการตอบโต้
_ทันทีที่ประกาศดังกล่าวถูกเปิดเผย ราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำในนิวยอร์กพุ่งสูงกว่าราคาสปอตในกรุงลอนดอน (London) และฮ่องกง (Hong Kong) เป็นส่วนต่างกว้างกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ นักลงทุนจำนวนมากเร่งเข้าซื้อสัญญาเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น_
สำหรับสวิตเซอร์แลนด์ นโยบายภาษีทองคำนี้ยิ่งสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจของประเทศ หลังประธานาธิบดีคาริน เคลเลอร์-ซัตเทอร์ (Karin Keller-Sutter) เดินทางฉุกเฉินไปยังวอชิงตันเพื่อเจรจากับฝ่ายสหรัฐฯ แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จใด ๆ ในการขอลดหย่อนภาษีดังกล่าว
ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญในตลาดโลหะมีค่าหลายราย เช่น Joni Teves จาก UBS AG และ Nikos Kavalis จาก Metals Focus Ltd เตือนว่าการจัดเก็บภาษีทองคำในลักษณะนี้อาจบั่นทอนเสถียรภาพของระบบซื้อขายฟิวเจอร์สบน Comex เนื่องจากแหล่งรีไฟน์ในสหรัฐฯ มีข้อจำกัดด้านกำลังการผลิต หากผู้นำเข้าหลัก เช่นเอเชียหรือยุโรป หยุดการส่งออกหรือหันไปปรับกลยุทธ์ใหม่ อาจสร้าง “ความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง” ต่อระบบซื้อขายทองคำระดับโลก
ประเด็นสำคัญอีกข้อคือ ยังไม่มีความชัดเจนว่าทองคำแท่งขนาด 400 ออนซ์ ซึ่งเป็นมาตรฐานซื้อขายในตลาดลอนดอน จะถูกนำไปจัดเก็บภาษีแบบเดียวกันหรือไม่ หากไม่ การนำเข้าทองแท่งขนาดใหญ่ที่ยังไม่มีภาษี แล้วนำมาหลอมใหม่ในรูปแบบที่ต้องเสียภาษี อาจสร้างปัญหาความต่างราคาระหว่างตลาดและความเหลื่อมล้ำของ supply chain ทั่วโลก
บรรยากาศในอุตสาหกรรมปัจจุบันเต็มไปด้วยความระมัดระวัง โรงงานรีไฟน์ทองคำรายใหญ่หลายแห่งในเอเชียประกาศ “หยุดการส่งออก” ไปสหรัฐฯ ชั่วคราว รอความชัดเจนด้านนโยบายภาษี
ภาพรวม นักลงทุนและผู้ค้าโลหะมีค่าทั่วโลกกำลังจับตาการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างใกล้ชิด ทั้งในด้านการจัดเก็บภาษี การเคลื่อนไหวราคาตลาด และความสามารถในการรักษาเสถียรภาพซื้อขายระหว่างประเทศในอนาคต
ข้อมูลจากสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งสหรัฐฯ (US Geological Survey) แสดงให้เห็นว่าการนำเข้าทองคำรายเดือนของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดที่ 43 ตันในเดือนมกราคมปีนี้ เนื่องจากผู้ค้าเร่งขนส่งทองคำไปยังสหรัฐฯ ก่อนมาตรการภาษีอาจมีผลบังคับใช้ ซึ่งสูงกว่าการผลิตเฉลี่ยต่อเดือนของโรงกลั่นทองคำในสหรัฐฯ ที่ 22 ตันเมื่อปีที่แล้ว
ผู้ค้าทองคำเคยคาดว่าทองคำแท่งขนาด 1 กิโลกรัม และ 100 ออนซ์ จะได้รับการยกเว้นจากภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) รวมถึงอัตราภาษี 39% ที่สร้างความตกใจให้กับสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) แต่ในเอกสารที่ส่งเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) ได้ชี้แจงว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้จัดอยู่ในรหัสศุลกากร (customs codes) ที่ครอบคลุมสินค้ากึ่งแปรรูป (semi-processed goods) ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับของมาตรการภาษี
"ทองคำถูกเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างธนาคารกลาง (central banks) และทุนสำรองทั่วโลก" นายโรเบิร์ต ก็อทลิบ (Robert Gottlieb) อดีตผู้ค้าโลหะมีค่าและกรรมการผู้จัดการของ JPMorgan Chase & Co. กล่าวถึงทองคำแท่ง "เราไม่เคยคิดเลยว่ามันจะถูกเก็บภาษี"
ทั้งนี้ การนำเข้าและส่งออกของทุกประเทศถูกจัดประเภทตามระบบรหัสที่ซับซ้อน ซึ่งใช้กำหนดขอบเขตของมาตรการภาษีใดๆ โดยเอกสารของสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) ระบุว่าทองคำแท่งอยู่ภายใต้รหัสศุลกากร 7108.13.5500 แทนที่จะเป็นรหัส 7108.12.10 ที่ไม่มีการเก็บภาษีอย่างที่คาดไว้ ซึ่งตามเว็บไซต์ของคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (US International Trade Commission) ระบุว่ารหัสนี้จัดประเภททองคำเป็น "กึ่งแปรรูป (semi-manufactured)" ไม่ใช่ "ทองคำที่ยังไม่ได้หล่อขึ้นรูป (unwrought)"
ผู้จัดการโรงกลั่นทองคำรายใหญ่สองแห่งในเอเชีย (Asia) ซึ่งไม่ต้องการเปิดเผยชื่อกล่าวว่า พวกเขากำลังระงับการจัดส่งทองคำไปยังสหรัฐฯ (US) จนกว่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการภาษีนี้ เนื่องจากยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทองคำแท่งประเภทอื่น เช่นทองคำขนาด 400 ออนซ์ ซึ่งมีการซื้อขายมากที่สุดในลอนดอน (London) จะอยู่ภายใต้มาตรการภาษีหรือไม่ โดยมีผู้จัดการโรงกลั่นรายหนึ่งให้ความเห็นว่า หากไม่ถูกเก็บภาษี ทองคำเหล่านั้นก็สามารถนำเข้ามาในสหรัฐฯ (US) และหลอมใหม่เป็นทองคำแท่งขนาด 1 กิโลกรัมได้
อย่างไรก็ตาม นายนิโคส คาวาลิส (Nikos Kavalis) กรรมการผู้จัดการของบริษัทที่ปรึกษา Metals Focus Ltd กล่าวว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะยังคงทำให้สัญญาของตลาด CME ไม่สามารถใช้งานได้ เนื่องจากสหรัฐฯ มีกำลังการผลิตในการกลั่นทองคำที่จำกัด เขากล่าวว่า "ส่วนต่างระหว่างราคาสปอต (spot price) และราคาฟิวเจอร์ส (futures price) จะมีความเสี่ยงจากปัญหาด้านกำลังการผลิต ผมไม่เห็นว่าสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อใครเลย" และกล่าวทิ้งท้ายว่า "ผมสงสัยว่านี่เป็นความเข้าใจผิดหรือความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ศุลกากร หรืออย่างน้อยก็เป็นการประเมินที่ผิดพลาด ผมคาดว่าเรื่องนี้จะถูกคัดค้านทางกฎหมายหรือถูกล็อบบี้"
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-08-08/us-hits-gold-bars-with-tariffs-in-blow-to-switzerland-ft-report?utm_source=website&utm_medium=share&utm_campaign=copy