เหตุใดอินเดียจึงเฉลิมฉลองความพ่ายแพ้ในฐานะชัยชนะ?

เหตุใดอินเดียจึงเฉลิมฉลองความพ่ายแพ้ในฐานะชัยชนะ?
29-5-2025
ตั้งแต่ที่ผมเขียนบทความ “ช่วงเวลา DeepSeek แห่งการรบทางอากาศยุคใหม่” ก็มีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลของการปะทะระหว่างปากีสถานและอินเดียในวันที่ 7 และ 8 พฤษภาคมออกมาเพิ่มเติม นอกเหนือจากเครื่องบิน Rafale 3 ลำ, Su-30 หนึ่งลำ, Mig-29 หนึ่งลำ และโดรน Heron UAV หนึ่งลำ ที่กล่าวถึงในบทความก่อน ปากีสถานยังได้ยิงตกเครื่องบิน Mirage 2000 ที่ผลิตโดยฝรั่งเศสของอินเดียอีกหนึ่งลำ กองทัพอากาศปากีสถานยังได้ทำลายแบตเตอรีของระบบป้องกันภัยทางอากาศ S-400 ของรัสเซีย 2 ชุด (ศูนย์บัญชาการและหน่วยเรดาร์หนึ่งหน่วย) ด้วยขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง CM-400AKG ที่ผลิตโดยจีน ซึ่งถูกยิงจากเครื่องบิน JF-17 ซึ่งเป็นโครงการผลิตร่วมระหว่างปากีสถานและจีน
เนื่องจากนี่เป็นการสู้รบทางอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงครั้งแรกในศตวรรษที่ 21 และเป็นสงครามนอกระยะสายตาครั้งแรก (BVR – Beyond Visual Range) นักวิเคราะห์ทางทหารและนักวิจารณ์จึงกำลังศึกษาการรบครั้งนี้อย่างละเอียด ผมมีแผนจะเขียนบทความสั้นอีกชิ้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีเบื้องหลังชัยชนะของปากีสถานในเร็ว ๆ นี้
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งประเด็นของสงครามที่เกิดขึ้นทันทีหลังการปะทะก็คือ ภาพลวงตาหมู่ ที่รัฐบาลอินเดียและสื่ออินเดียสร้างขึ้นเกี่ยวกับความขัดแย้งครั้งนี้ แทนที่จะยอมรับความพ่ายแพ้และทบทวนกลยุทธ์ ยุทธวิธี และบทเรียนจากสนามรบ รัฐบาลอินเดียกลับพยายามปกปิดความล้มเหลวของตนเองด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริงและโกหกอย่างกว้างขวาง จนถึงขั้นอ้างว่าเป็นชัยชนะอย่างสมบูรณ์
รัฐบาลอินเดีย สื่อโทรทัศน์ (มากกว่า 400 ช่อง) และโซเชียลมีเดีย เต็มไปด้วยการกล่าวอ้างเกินจริงถึงชัยชนะในสนามรบ ความเสียหายของปากีสถาน และความเหนือกว่าของกองทัพอินเดีย ข้อกล่าวอ้างที่บ้าคลั่งเหล่านี้รวมถึง –
1. ไม่มีเครื่องบินของอินเดียถูกยิงตก และระบบ S400 ก็ไม่ได้รับความเสียหาย (แม้ว่าจะมีวิดีโอซากเครื่องบิน Rafale ที่ปรากฏหมายเลขหาง และมีการจัดพิธีฝังศพทหารอินเดียสองนายที่ปฏิบัติหน้าที่กับระบบ S400 โดยรายงานของอินเดียอ้างว่าทั้งสองถูกยิงเสียชีวิตในเหตุปะทะบริเวณชายแดน ซึ่งขัดแย้งกับสามัญสำนึกอย่างชัดเจน)
2. กองทัพอากาศอินเดียอ้างว่ายิงเครื่องบิน F-16 ของปากีสถานตก 8 ลำ และ JF-17 อีก 4 ลำ (ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเครื่อง F-16 ที่ผลิตโดยสหรัฐฯ บินขึ้นในระหว่างการปะทะเลย เนื่องจากสหรัฐฯ ห้ามปากีสถานใช้ F-16 ในความขัดแย้งกับอินเดีย)
3. เมืองการาจี ซึ่งเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดของปากีสถาน ถูกทิ้งระเบิดเพลิงโดยกองทัพเรืออินเดีย และหนึ่งในสามของเมืองถูกทำลาย (ภาพที่ออกอากาศทางทีวีอินเดียต่อมาได้รับการตรวจสอบว่าเป็นฟุตเทจจากการโจมตีของอิสราเอลในปาเลสไตน์)
4. มีการรัฐประหารเกิดขึ้นในปากีสถาน และผู้บัญชาการทหารสูงสุดถูกจับกุม
5. อดีตนายทหารอากาศระดับจอมพลของอินเดียออกมาอ้างว่า กองทัพอากาศจีนไม่สามารถใช้เทคโนโลยีจีนได้ดีเท่าปากีสถาน ดังนั้นอินเดียจึงไม่ต้องกังวลกับความขัดแย้งกับจีน
หลังการสู้รบทางอากาศ รัฐบาลอินเดียได้เรียกคณะทูตจากกว่า 70 ประเทศมาฟังการประกาศชัยชนะอันกล้าหาญ นายกรัฐมนตรีโมดีได้เดินทางไปเยี่ยมแนวหน้าและประกาศวันเฉลิมฉลองทั่วประเทศเป็นเวลา 10 วัน กองทัพอินเดียได้รับมอบหมายให้เดินสายทั่วประเทศเพื่อแบ่งปันความสำเร็จในสนามรบให้กับประชาชนที่รักชาติ
เมื่อเจ้าหน้าที่จากสหรัฐฯ และฝรั่งเศสออกมายืนยันถึงความสูญเสียบางส่วนที่อินเดียได้รับ สื่ออินเดีย นำโดย พัลกี ชาร์มา ผู้สนับสนุน BJP ชื่อดังและผู้ประกาศข่าวทางทีวี ได้เปิดฉากโจมตีด้วยความคลั่งต่ออาวุธของสหรัฐฯ และยุโรป โดยกล่าวหาทรัมป์ว่าเข้ามาแทรกแซงหยุดยิงระหว่างสองฝ่าย สื่อเหล่านี้อ้างว่า หากไม่มีการหยุดยิง อินเดียจะสามารถยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้กับปากีสถานได้มากกว่านี้อีก
จนถึงทุกวันนี้ ชาวอินเดียส่วนใหญ่ยังคงตกอยู่ในภาพลวงตาว่ากองทัพอินเดียได้สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อปากีสถานและได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดโดยไม่มีความเสียหายเลย
แม้ว่าสื่อในอินเดียจะขึ้นชื่อเรื่องการรายงานข่าวที่เร้าอารมณ์และเกินจริง และพรรค BJP ภายใต้การนำของโมดี ก็ได้สร้างและใช้ประโยชน์จากกระแสชาตินิยมแบบฮินดูหัวรุนแรงมาอย่างต่อเนื่อง แต่ ภาพลวงตาแบบบอลลีวูดที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ก็ดูจะเกินเลยและอาจไม่มีอะไรเทียบเท่าได้ในประวัติศาสตร์การทหาร
มันน่าสนใจที่จะสำรวจว่าอะไรอยู่เบื้องหลังภาวะคลั่งไคล้มวลชนที่แยกขาดจากความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง และสิ่งนี้หมายความว่าอย่างไรต่ออินเดียและประชากรของตน การค้นหาด้วย AI อย่างรวดเร็วจะบอกคุณว่า คำทางการแพทย์หรือจิตวิทยาสำหรับ “การหลอกตัวเอง” คือ การหลอกตัวเองทางจิตใจ (self-deception)
การหลอกตัวเอง หมายถึง กระบวนการที่บุคคลทำให้ตนเองเชื่อว่าสิ่งที่ผิดหรือเท็จเป็นความจริงหรือถูกต้อง มักเกี่ยวข้องกับอคติทางความคิด การปฏิเสธความจริง หรือการหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง เพื่อรักษาความเชื่อบางอย่างหรือหลีกเลี่ยงความจริงที่ไม่สบายใจ
แม้จะไม่ใช่การวินิจฉัยโรคทางจิตเวชอย่างเป็นทางการ แต่การหลอกตัวเองเป็นเรื่องที่ได้รับการศึกษาในด้านจิตวิทยาและจิตเวชในฐานะกลไกการป้องกัน (defense mechanisms) เช่น การปฏิเสธ (denial) หรือการกดทับ (repression) ที่ทำหน้าที่ปกป้องอีโก้จากความวิตกกังวลหรือความทุกข์
ผมคิดว่าสิ่งนี้อธิบายได้อย่างสมบูรณ์ถึงเหตุผลทางจิตวิทยาที่อยู่เบื้องหลังอารมณ์และบุคลิกของคนอินเดียในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยภาพลวงตา
นับตั้งแต่พรรค BJP ขึ้นสู่อำนาจ นายกรัฐมนตรีโมดีและพวกพ้องได้จงใจสร้างเรื่องเล่าแบบชาตินิยมสุดโต่งเกี่ยวกับ “ความยิ่งใหญ่ของอินเดีย” และ “ความเหนือชั้นของชาวฮินดู”
อินเดียได้เปิดฉากปราบปรามชาวมุสลิมอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และยึดสถานะปกครองตนเองของแคว้นแคชเมียร์ (ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม) ที่มีมายาวนาน
อินเดียยอมรับภาพลวงว่า ตนจะมาแทนที่จีนในฐานะศูนย์กลางการผลิตของโลกและเครื่องยนต์เศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก โดยอาศัยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯ และชาติตะวันตกอย่างฉวยโอกาส ขณะเดียวกันก็แสวงหาผลประโยชน์จากสงครามรัสเซีย–ยูเครนด้วยการขายน้ำมันรัสเซียให้ตะวันตกในราคาที่สูงขึ้น
อินเดียคุยว่าเศรษฐกิจของตนได้แซงหน้าสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส และอีกไม่นานจะขึ้นไปเทียบชั้นสหรัฐฯ และจีน ทั้งที่ยังตามหลังญี่ปุ่นและเยอรมนีอยู่มาก เพื่อทำให้ GDP ดูสูงขึ้น อินเดียได้เปลี่ยนวิธีการคำนวณ GDP ถึงสองครั้งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา และเริ่มนับมูลค่ามูลวัวเป็นส่วนหนึ่งของ GDP ในฐานะปัจจัยการผลิตทางการเกษตร โดย Grok ประเมินว่า ในปี 2023 อินเดียนับมูลค่าของมูลวัวและปุ๋ยธรรมชาติอื่นๆ ไว้ที่ 4.7 พันล้านดอลลาร์
อินเดียพยายามเสริมสร้างศักยภาพทางทหารด้วยการจัดซื้ออาวุธจากหลายประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส รัสเซีย สหรัฐฯ และอิสราเอล อย่างสะเปะสะปะ โดยในปี 2015 อินเดียใช้งบประมาณ 7.8 พันล้านยูโรเพื่อซื้อเครื่องบินขับไล่ Rafale จำนวน 36 ลำ หรือเฉลี่ย 220 ล้านยูโรต่อเครื่อง ซึ่งถือเป็นราคาต่อเครื่องสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ณ ขณะนั้น มีการทุจริตอย่างกว้างขวางในดีลนี้โดยพวกพ้องของโมดี จน Wikipedia ต้องมีหน้าบทความเฉพาะสำหรับเรื่องอื้อฉาวนี้ แม้ข้อเท็จจริงจะถูกเปิดเผย แต่อินเดียยังตัดสินใจเดินหน้าซื้อ Rafale เพิ่มอีก 26 ลำในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ด้วยมูลค่า 7.4 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็นราคาใหม่ที่สูงถึง 285 ล้านดอลลาร์ต่อเครื่อง ทำลายสถิติโลกอีกครั้ง
สงครามทางอากาศระหว่างปากีสถาน–อินเดียครั้งนี้ เดิมทีอินเดียตั้งใจจะใช้แสดงแสนยานุภาพใหม่ที่เพิ่งได้มา แต่สุดท้ายกลับถูกปากีสถาน "สั่งสอน" อย่างเจ็บแสบ
ในทำนองเดียวกัน รัฐบาลโมดีได้ประกาศแคมเปญ “Make In India” อย่างเอิกเกริกในปี 2015 โดยตั้งเป้าที่จะทำให้อินเดียเป็นโรงงานของโลกแทนจีน โดยตั้งเป้าหมายให้ภาคการผลิตคิดเป็น 25% ของ GDP ภายในปี 2025 แต่ในความเป็นจริง ภาคการผลิตของอินเดียคิดเป็นเพียง 13% ของ GDP ในปี 2024 ซึ่งลดลงจาก 17% เมื่อปี 2010
ในทางตรงกันข้าม จากข้อมูลของ CSIS ระบุว่าภาคการผลิตในจีนมีมูลค่าเพิ่ม (value-added) คิดเป็นเกือบ 40% ของ GDP ของประเทศ (เทียบกับ 18% ในสหรัฐฯ) เมื่อคำนึงว่าขนาดเศรษฐกิจของจีนนั้นใหญ่กว่าอินเดียถึง 5 เท่า นั่นหมายความว่า GDP จากการผลิตของจีนเพียงอย่างเดียวก็มีมูลค่ามากกว่า GDP รวมทั้งหมดของอินเดียถึง 2 เท่า หรือมากกว่าภาคการผลิตของอินเดียถึง 16 เท่า
อีกหนึ่งสถิติที่น่าสนใจ – ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปารีส 2024 อินเดียคว้าเหรียญรวมได้เพียง 6 เหรียญเท่านั้น – 1 เหรียญเงิน และ 5 เหรียญทองแดง อยู่อันดับที่ 71 จาก 84 ประเทศที่ได้เหรียญ นี่คือผลงานอันดับสามที่ดีที่สุดของอินเดีย รองจากปี 2020 และ 2012 ตามข้อมูลของ Wikipedia ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกอยู่อันดับถัดจากลิทัวเนีย (อันดับที่ 70 ประชากร 2.8 ล้านคน) และมอลโดวา (อันดับที่ 72 ประชากร 2.4 ล้านคน) อินเดียคว้าเหรียญทองได้ 0 เหรียญ ขณะที่ฮ่องกงได้ 2 เหรียญทอง สหรัฐฯ และจีน (ไม่รวมฮ่องกง) ต่างคว้าไป 40 เหรียญทอง และได้เหรียญรวม 126 และ 91 เหรียญตามลำดับ
ช่องว่างอันมหาศาลระหว่างการรับรู้ตนเอง (หรือควรเรียกว่า “การหลอกตัวเอง”) ของอินเดียในฐานะ “มหาอำนาจ” กับความจริงอันโหดร้ายของความล้าหลังทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม คือสาเหตุของภาพลวงตาหมู่ (mass delusion) ดังกล่าว มันคือการผสมผสานอย่างน่าเศร้าระหว่างปมด้อยกับความยิ่งใหญ่ที่ไม่มีมูลความจริง
ในวรรณกรรมจีนต้นศตวรรษที่ 20 มีตัวละครที่โด่งดังชื่อว่า “อา คิว” เขาเป็นคนที่ล้มเหลวในชีวิตแต่ไม่สามารถยอมรับสถานะอันต่ำต้อยของตัวเองได้ จึงปลอบใจตัวเองว่าเขาเหนือกว่าคนอื่นรอบตัว เขามักพูดว่า “ข้าโดนลูกชายตัวดีของข้าตบ” หลังจากแพ้ในการต่อสู้ สุดท้ายเขาถูกใส่ร้ายว่าขโมยของและถูกตัดสินประหารชีวิต ขณะที่เซ็นใบยินยอมให้ประหารด้วยการวาดวงกลม (เพราะเขาเขียนหนังสือไม่เป็น) เขากลับกังวลว่าวงกลมที่วาดไม่สวยมากกว่าจะตายเสียอีก
อินเดียไม่ประสบความสำเร็จในการลอกเลียนแบบความสำเร็จทางเศรษฐกิจของจีน แต่กลับนำเอาวิธี “ชัยชนะทางจิตวิญญาณ” ของอา คิว มาใช้อย่างเต็มที่เพื่อรับมือกับความล้มเหลวและความอัปยศ
การเฉลิมฉลองของอินเดียต่อ “ความสำเร็จในจินตนาการ” ของตน สะท้อนอย่างสมบูรณ์แบบถึงการหลอกตัวเองของอา คิว ที่พยายามร้องเพลงฮีโร่ระหว่างทางไปสู่ลานประหาร ทั้งที่เสียงสั่นจนร้องไม่ออก สุดท้ายพูดได้เพียงวลีที่นักโทษใช้ปลอบใจตัวเองก่อนตายว่า “อีก 20 ปีข้าจะกลับมาเป็นชายฉกรรจ์อีกครั้ง”
ความหมกมุ่นของสื่ออินเดียกับการแสดงออกอันยิ่งใหญ่ สะท้อนถึงความผิดหวังอย่างลึกซึ้งของอา คิว ที่ผู้ชมการประหารเขาต่างพากันเบื่อ เพราะเขาไม่ได้ร้องเพลงอย่างที่คาดหวัง และผิดหวังที่เขาถูกยิงแทนที่จะถูกตัดหัว ทำให้พวกเขาไม่ได้ดู “ความบันเทิง” ที่แท้จริง
การเฉลิมฉลองของอินเดียต่อความพ่ายแพ้จากปากีสถาน สะท้อนถึงตัวตนของ “อา คิว” ได้อย่างครบถ้วน — การผสมผสานระหว่างความตลกร้ายกับโศกนาฏกรรม ที่การหลอกตัวเองยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งกระสุนปืนยุติชีวิตเขา
ในระดับที่สูงขึ้นไป การโฆษณาชวนเชิงเท็จโดยรัฐบาลและสื่ออินเดียก็คือสงครามข้อมูล (Information War) ต่อประชาชนของตัวเอง ชาวต่างชาติน้อยคนนักที่จะเชื่อคำบรรยายของทางการอินเดีย รัฐบาลและสื่ออินเดียในตอนนี้ได้สูญเสียความน่าเชื่อถือไปโดยสิ้นเชิง เป้าหมายที่แท้จริงของการโฆษณาชวนเชื่อนี้จึงไม่ใช่ชาวโลก แต่คือประชากรอินเดียเอง
ประเทศที่ขาดซึ่งความซื่อสัตย์ทางปัญญา และติดอยู่กับภาวะความขัดแย้งทางความคิด (cognitive dissonance) จะไม่มีวันเติบโตหรือลุกขึ้นได้ ตรงกันข้าม มันจะกลายเป็นเรื่องตลกให้พิธีกรช่วงดึกในต่างประเทศนำไปล้อเลียน
ในประเทศที่อ้างตัวว่าเป็น “ประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ซึ่งกฎที่แท้จริงคือ “1 รูปี = 1 คะแนนเสียง” โมดีกำลังหันไปใช้วิธีการที่ต่ำที่สุดในตำราการเมืองประชาธิปไตย — ทำให้ประชาชนโง่ลง และชนะคะแนนเสียงด้วยการโกหก
ที่มา https://huabinoliver.substack.com/p/indian-mass-delusion-syndrome-on