'win-win' เคนยา-จีน ปรับหนี้โครงการรถไฟ SGR

'win-win' เคนยา-จีน ปรับหนี้โครงการรถไฟ SGR เป็นเงินหยวน บททดสอบลดพึ่งพาดอลลาร์โลก
6-9-2025
SCMP รายงานว่า - บรรดานักวิเคราะห์ได้ให้ความเห็นว่า แผนการของเคนยา (Kenya) ที่จะเปลี่ยนการชำระหนี้ให้กับจีน (China) ซึ่งเดิมเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (US) ให้เป็นสกุลเงินหยวน (yuan) ถือเป็นข้อตกลงแบบ "win-win" เนื่องจากคาดว่าจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยของประเทศในแอฟริกาแห่งนี้ พร้อมทั้งส่งเสริมเป้าหมายของจีน (China) ในการเพิ่มการใช้งานสกุลเงินของตนทั่วโลก
ดีลดังกล่าวถือเป็นแนวทางใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และอาจสร้างบรรทัดฐานใหม่สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้ในอนาคต ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (US)
ช่วงปลายเดือนสิงหาคม กระทรวงการคลังของเคนยา (Kenya’s Treasury) ได้ประกาศว่าการเจรจากับ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศจีน (Export-Import Bank of China) ได้เข้าสู่ขั้นก้าวหน้าแล้ว โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายระยะเวลาไถ่ถอนและสับเปลี่ยนหนี้จากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (US) เป็นสกุลเงินหยวน เพื่อบรรเทาแรงกดดันต่อทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ หากการเจรจาสำเร็จ จะทำให้อัตราดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้เพื่อก่อสร้างทางรถไฟ Standard Gauge Railway (SGR) ลดลงครึ่งหนึ่งจาก 6.37% ซึ่งเป็นเงื่อนไขเงินกู้เดิมที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (US)
ในปี 2014 และ 2015 เคนยา (Kenya) ได้รับเงินกู้สองฉบับมูลค่ารวมประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (US) (ประมาณ 3.5 หมื่นล้านหยวน) เพื่อก่อสร้างทางรถไฟ SGR ระยะทาง 480 กิโลเมตร ที่เชื่อมเมืองท่ามอมบาซา (Mombasa) กับกรุงไนโรบี (Nairobi) ซึ่งเป็นเมืองหลวง และส่วนขยายอีก 120 กิโลเมตรไปยังเมืองนาอิวาชา (Naivasha) ในหุบเขา Central Rift Valley
ตามรายงานของ นายจอห์น เอ็มบาดี (John Mbadi) รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของเคนยา (Kenya) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะลดลงจากกว่า 6% ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (US) เหลือประมาณ 3% ในสกุลเงินหยวน เนื่องจากความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของตลาดเงินระยะสั้นแบบข้ามคืน (secured overnight financing rate) ซึ่งอยู่ที่ 4.6% และอัตราดอกเบี้ยหยวน
คาดว่าข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยลดค่าใช้จ่าย 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (US) ต่อปีที่เคนยา (Kenya) ใช้ในการชำระหนี้ให้จีน (China) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับงบประมาณของประเทศ
เมื่อไม่นานมานี้ ไนโรบี (Nairobi) ได้เผชิญกับแรงกดดันทางการเงินอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการยกเลิก ร่างกฎหมายการเงินปี 2024 (Finance Bill) ซึ่งทำให้แผนการเก็บภาษีใหม่ต้องหยุดชะงักลงหลังจากเกิดการประท้วงอย่างกว้างขวาง โดย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund หรือ IMF) ได้จัดให้เคนยา (Kenya) อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงสูงต่อการผิดนัดชำระหนี้ และระงับการทบทวนโครงการสุดท้ายกับประเทศ ทำให้รัฐบาลไม่สามารถเข้าถึงเงินกู้ก้อนสุดท้ายมูลค่าเกือบ 850 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (US) ได้
นายอาลี-ข่าน แซตชู (Aly-Khan Satchu) นักวิเคราะห์เศรษฐกิจภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคแอฟริกาใต้สะฮารา (Sub-Saharan Africa) กล่าวว่า การสับเปลี่ยนหนี้ครั้งนี้เป็น "วิน-วิน" สำหรับทั้งเคนยา (Kenya) และจีน (China) สำหรับเคนยา (Kenya) นายแซตชู (Satchu) ระบุว่า "ช่วยกระจายสกุลเงินที่ใช้ในการกู้ยืมในด้านสินทรัพย์และหนี้สินของงบดุล" ส่วนสำหรับจีน (China) ช่วยเพิ่มการเข้าถึงสกุลเงินหยวน (yuan) ในตลาดโลกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน นายแซตชู (Satchu) กล่าวเสริมว่า "มันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง"
นายมาร์ก โบห์ลันด์ (Mark Bohlund) นักวิเคราะห์อาวุโสจาก REDD Intelligence กล่าวว่ายังคงต้องจับตาดูว่าคำขอของรัฐบาลเคนยา (Kenya) ในการขยายเวลาการชำระคืนเงินกู้จีน (China) จะประสบความสำเร็จมากกว่าความพยายามครั้งก่อนหรือไม่
นายโบห์ลันด์ (Bohlund) ชี้ว่า ความต้องการเงินทุนของเคนยา (Kenya) ในปีงบประมาณ 25/26 เพิ่มขึ้นเนื่องจากความล่าช้าในการได้รับเงินจาก IMF และ ธนาคารโลก (World Bank) ทำให้รัฐบาลต้องเปลี่ยนเส้นทางเงินที่ได้จากการขายพันธบัตรสกุลเงินยูโร (eurobond) มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (US) ในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อนำมาใช้ในการชำระเงินกู้ล่วงหน้าจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (ซึ่งปัจจุบันมีต้นทุน 12-13%) มาเป็นการใช้ในการชดเชยงบประมาณที่ขาดดุลแทน
เขากล่าวว่า หากไม่มีเงินกู้ที่จะได้รับ การชำระหนี้ภายนอกที่ใหญ่ที่สุดในรอบปีงบประมาณ 25/26 คือเงินจำนวน 9.6 หมื่นล้านชิลลิงเคนยา (KES) (741 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ที่ต้องชำระให้ China Exim Bank พร้อมดอกเบี้ยอีก 3.4 หมื่นล้านชิลลิงเคนยา (KES)
“ความแตกต่างอย่างต่อเนื่องระหว่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารของเซี่ยงไฮ้ (Shanghai interbank rate) และ libor รวมถึงอัตราดอกเบี้ยอื่น ๆ ที่มีดอลลาร์สหรัฐฯ (US) เป็นศูนย์กลาง ทำให้รัฐบาลเคนยา (Kenya) รู้สึกว่าการเปลี่ยนเงินกู้ SGR และหนี้อื่น ๆ ที่เป็นหนี้กับเจ้าหนี้จีน (China) ให้เป็นสกุลเงินหยวนเป็นเรื่องที่น่าสนใจ” นายโบห์ลันด์ (Bohlund) กล่าว
นายเดวิด โอโมโจโมโล (David Omojomolo) นักเศรษฐศาสตร์ประจำทวีปแอฟริกาจาก Capital Economics บริษัทที่ปรึกษาด้านการวิจัยเศรษฐกิจมหภาคในลอนดอน กล่าวว่า ผู้กู้รายอื่น ๆ ที่พึ่งพาจีน อย่างมาก เช่น แองโกลา (Angola) กำลังจับตาดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด “สหรัฐฯ เองก็กำลังจับตาดูเช่นกัน โดยได้มีการเตือนถึงการรวมตัวทางการเงินที่ลึกซึ้งขึ้นระหว่างจีน และกลุ่มประเทศ BRICS” นายโอโมโจโมโล กล่าว
อย่างไรก็ตาม เขาระบุว่า การจัดการหนี้สินเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความท้าทายพื้นฐานของเคนยา (Kenya) “หากไม่ได้รับการสนับสนุนจาก IMF และการรวมตัวทางการคลังที่มีความหมาย แนวโน้มหนี้ของประเทศก็จะยังคงไม่ยั่งยืน” นายโอโมโจโมโล กล่าวเสริม "เคนยา อาจจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ในระยะสั้น แต่ความสามารถในการชำระหนี้ของประเทศจะยังคงตึงตัว ทำให้ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐยังคงสูงขึ้น"
การเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่กว้างขึ้นของจีน ในการส่งเสริมสกุลเงินของตนให้เป็นสากลและท้าทายการครอบงำของดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจีน ได้ลงนามในข้อตกลงแลกเปลี่ยนสกุลเงินกับประเทศต่าง ๆ เช่น ไนจีเรีย และแอฟริกาใต้
ทวีปแอฟริกา (Africa) ยังคงเป็นพยานในการทำข้อตกลงที่ใช้สกุลเงินหยวน (yuan) มากขึ้น เช่น เงินกู้ล่าสุดมูลค่า 2.1 พันล้านหยวนระหว่าง China Development Bank และ Development Bank of Southern Africa
นอกจากนี้ ทั้ง African Export-Import Bank (Afreximbank) และ Standard Bank of South Africa ได้เข้าร่วม Cross-border Interbank Payment System หรือ CIPS ซึ่งเป็นทางเลือกของจีน (China) แทนเครือข่ายการชำระเงินระหว่างประเทศ Swift เพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระเงินโดยตรงระหว่างธนาคารด้วยสกุลเงินหยวน (yuan) ในการค้าขายระหว่างจีน (China) และแอฟริกา (Africa)
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.scmp.com/news/china/diplomacy/article/3324321/kenyas-plan-switch-debt-payments-china-us-dollars-yuan-win-win?module=top_story&pgtype=section
Photo: Xinhua