เปิดยุคจักรวรรดินิยมใหม่ 'ทรัมป์-ปูติน-สี จิ้นผิง'
![](../image/news/content_20250211083236.jpg)
เปิดยุคจักรวรรดินิยมใหม่ 'ทรัมป์-ปูติน-สี จิ้นผิง' กับเกมขยายดินแดน
11-2-2025
เปิดแผนขยายอาณาเขต 3 มหาอำนาจ ทรัมป์หมายตากรีนแลนด์-ปูตินล่ายูเครน-สี เล็งไต้หวัน
เราอาจกำลังก้าวเข้าสู่ยุค "นีโอจักรวรรดินิยม" หลังจากผ่านยุคเสรีนิยมใหม่และนีโอคอนเซอร์วาติซึม เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศในคำปราศรัยรับตำแหน่งว่าสหรัฐฯ จะเป็น "ประเทศที่กำลังเติบโตอีกครั้ง ที่เพิ่มความมั่งคั่งและขยายอาณาเขต"
ถ้อยแถลงของทรัมป์ไม่ใช่เพียงวาทกรรมว่างเปล่า เขาประกาศซ้ำๆ ถึงดินแดนที่ต้องการได้มา ทั้งกรีนแลนด์ คลองปานามา แคนาดาที่เขาต้องการให้เป็นรัฐที่ 51 และล่าสุดถึงขั้นอ้างสิทธิ์เหนือฉนวนกาซา ความทะเยอทะยานนี้สร้างความตกตะลึงแม้แต่ผู้สนับสนุนของเขาเอง
ขณะเดียวกัน วลาดิมีร์ ปูติน ก็มองยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของ "โลกรัสเซีย" โดยเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เปิดเผยว่าก่อนบุกยูเครน ปูตินได้ศึกษาแนวทางของผู้ปกครองในอดีตทั้ง "อีวานมหาโหด ปีเตอร์มหาราช และแคทเธอรีนมหาราช" ที่เคยขยายดินแดนรัสเซียอย่างกว้างขวาง
ด้านสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ประกาศว่า "ไต้หวันเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของจีน" และปัญหาไต้หวันไม่สามารถส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้อีก การรวมไต้หวันกลับคืนจะเป็นความสำเร็จที่ทำให้เขาได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์เทียบเท่าเหมา เจ๋อตุง
ที่ปรึกษาของทรัมป์พยายามหาเหตุผลด้านความมั่นคงมาอธิบายการเรียกร้องดินแดนของเขา เช่น กรีนแลนด์มีแร่สำคัญ จีนกำลังคุกคามคลองปานามา แต่ไม่สามารถอธิบายกรณีแคนาดาและกาซาได้ จึงเหลือเพียงข้อสันนิษฐานว่าเป็นเรื่องของการสร้างความยิ่งใหญ่ส่วนตัว หากไม่ได้รางวัลโนเบล อย่างน้อยก็อาจได้รูปสลักบนภูเขารัชมอร์
การโทรศัพท์คุยกับนายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก เมตเตอ เฟรเดอริกเซน ยิ่งตอกย้ำจุดยืนนี้ เมื่อเธอเสนอทุกอย่างให้สหรัฐฯ ทั้งฐานทัพและสิทธิ์เหนือแร่ธาตุในกรีนแลนด์ แต่ทรัมป์ต้องการกรีนแลนด์ทั้งหมด
แม้การยึดแคนาดาหรือกาซาอาจดูเป็นไปไม่ได้ แต่คลองปานามาและกรีนแลนด์อาจตกเป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้มากกว่า เนื่องจากกำลังทางทหารของสหรัฐฯ เหนือกว่าปานามาและเดนมาร์ก
การที่สหรัฐฯ รัสเซีย และจีน นำโดยผู้นำที่มุ่งขยายอำนาจ อาจนำไปสู่โลกที่ประเทศเล็กไม่สามารถพึ่งพากฎหมายระหว่างประเทศได้อีกต่อไป ตามคำกล่าวของทูซิดิดีสที่ว่า "ผู้แข็งแกร่งทำในสิ่งที่ทำได้ ส่วนผู้อ่อนแอต้องทนทุกข์ในสิ่งที่พวกเขาต้องทำ"
แม้อาจเกิดสันติภาพที่ไม่มั่นคงระหว่างมหาอำนาจผ่านการแบ่งเขตอิทธิพล โดยสหรัฐฯ ครองซีกโลกตะวันตก รัสเซียครองยุโรปตะวันออก และจีนครองเอเชียตะวันออก แต่ประวัติศาสตร์ชี้ว่าการแบ่งอำนาจเช่นนี้ในศตวรรษที่ 19 นำไปสู่สงครามโลกในศตวรรษที่ 20
ที่น่ากังวลไม่แพ้กันคือผลกระทบต่อการเมืองภายใน เพราะ "จักรวรรดิต้องมีจักรพรรดิ" นโยบายขยายอำนาจของปูตินและสีมาพร้อมลัทธิบูชาบุคคลและการปราบปรามทางการเมือง ส่วนทรัมป์มุ่งทำลาย "ศัตรูภายใน" โดยมีอีลอน มัสก์ที่คิดถึงจักรวรรดิโรมันทุกวันเสนอว่าอเมริกาอาจต้องการ "ซุลลายุคใหม่" ผู้เผด็จการที่สังหารฝ่ายตรงข้ามนับร้อยเพื่อปฏิรูปรัฐ
---
IMCT NEWS
ที่มา https://www.ft.com/content/8d1afb00-57ee-4b59-abe3-df0ff18084fb